tag:blogger.com,1999:blog-43314919725443168062024-03-14T04:51:12.267+07:00บริหารการศึกษา กลุ่มดอนทอง52บริหารการศึกษา กลุ่มดอนทอง52http://www.blogger.com/profile/09977397254587622395noreply@blogger.comBlogger7125tag:blogger.com,1999:blog-4331491972544316806.post-43973287829493295572010-04-23T08:59:00.004+07:002010-04-23T09:15:10.288+07:00เอกสารตารางโค้งปกติ<div><div>ตัวอย่าง Link การคำนวณโค้งปกติ</div><div></div><br /><div><a href="http://translate.google.co.th/translate?hl=th&langpair=en%7Cth&u=http://faculty.vassar.edu/lowry/tabs.html">http://translate.google.co.th/translate?hl=th&langpair=en%7Cth&u=http://faculty.vassar.edu/lowry/tabs.html</a><br /><br /><a href="http://1.bp.blogspot.com/_RihehW4OFJ8/S9EAldhExRI/AAAAAAAAAAU/tIIB2NXlEPw/s1600/viewer.png"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5463148466555634962" style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 226px; CURSOR: hand; HEIGHT: 320px" alt="" src="http://1.bp.blogspot.com/_RihehW4OFJ8/S9EAldhExRI/AAAAAAAAAAU/tIIB2NXlEPw/s320/viewer.png" border="0" /></a><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /></div><p align="left"><a href="http://2.bp.blogspot.com/_RihehW4OFJ8/S9EBIWBJM7I/AAAAAAAAAAc/b9CBLsszyJg/s1600/viewer2.png"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5463149065838080946" style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 226px; CURSOR: hand; HEIGHT: 320px" alt="" src="http://2.bp.blogspot.com/_RihehW4OFJ8/S9EBIWBJM7I/AAAAAAAAAAc/b9CBLsszyJg/s320/viewer2.png" border="0" /></a></p><a href="http://2.bp.blogspot.com/_RihehW4OFJ8/S9EBIWBJM7I/AAAAAAAAAAc/b9CBLsszyJg/s1600/viewer2.png"></a><div><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br />แหล่งข้อมูล<a href="http://www.watpon.com/th/index.php?topic=13.0"><br />http://www.watpon.com/th/index.php?topic=13.0</a><br /></div></div>บริหารการศึกษา กลุ่มดอนทอง52http://www.blogger.com/profile/09977397254587622395noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4331491972544316806.post-26613735810082561702010-04-21T11:40:00.004+07:002010-04-21T12:00:41.968+07:00รายงาน เรื่อง จิตวิทยาการศึกษา<strong>จิตวิทยาการศึกษา</strong><br />จิตวิทยา คือ ศาสตร์ที่ศึกษาพฤติกรรมและกระบวนการทางจิต จิตวิทยาการศึกษาเป็นสาขาหนึ่งของจิตวิทยาที่สนใจศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับกระบวนการเรียนรู้ พัฒนากระบวนทางความคิด และโครงการสร้างของความรู้ที่เกิดขึ้นในตัวผู้เรียน ตลอดจนการจัดสภาพแวดล้อม บรรยากาศการเรียนรู้ในชั้นเรียนที่เหมาะสม<br /><br /><strong>ทฤษฎีการเรียนรู้จิตวิทยา</strong><br />แนวคิดเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์<br />ธรรมชาติของมนุษย์มาจากการมองธรรมชาติของมนุษย์ในด้านจริยธรรมและพฤติกรรม<br />แนวคิดที่ 1 เชื่อว่ามนุษย์เกิดมาพร้อมความไม่ดี (innately bad)<br />แนวคิดที่ 2 เชื่อว่ามนุษย์เกิดมาพร้อมกับความดี (innately good)<br />แนวคิดที่ 3 เชื่อว่ามนุษย์เกิดมาพร้อมกับลักษณะที่เป็นกลาง ไม่ดี ไม่เลว<br /><br />แนวคิดเกี่ยวกับพฤติกรรมหรือการกระทำของมนุษย์<br />แนวคิดที่ 1 เชื่อว่าพฤติกรรมของมนุษย์เกิดจากแรงกระตุ้นภายในตัวเอง (active)<br />แนวคิดที่ 2 เชื่อว่าพฤติกรรมของมนุษย์เกิดจาก อิทธิพลของสิ่งแวดล้อม (reactive)<br />แนวคิดที่ 3 เชื่อว่าพฤติกรรมของมนุษย์ เกิดจากสิ่งแวดล้อมและจากแรงกระตุ้นในตัวบุคคล<br /><br />แนวคิดด้านจริยธรรมและพฤติกรรม เป็นพื้นฐานที่สำคัญของทฤษฎีและหลักการเรียนรู้ต่าง ๆ<br />สามารถแบ่งได้เป็น 2 ด้าน คือ<br />1. ทฤษฎีเกี่ยวกับการเรียนรู้และหลักการสอนในช่วงก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 20 และการประยุกต์สู่การสอน สามารถจัดแยกได้เป็น 3 กลุ่มคือ<br />1.1 กลุ่มที่เน้นการฝึกจิตหรือสมอง (Mental Discipline)<br />นักคิดกลุ่มนี้เชื่อว่า จิตหรือสมองหรือสติปัญญาสามารถพัฒนาได้โดยการฝึก นักคิดกลุ่มนี้มีแนวคิดแยกออกเป็น 2 กลุ่มย่อย คือ<br />1.1.1 กลุ่มที่เชื่อในพระเจ้า (Theistic Mental Discipline ) นักคิด คือ เซนต์ออกุสติน จอห์น คาลวิน และคริสเตียน โวล์ฟ นักคิดกลุ่มนี้มีความเชื่อเรื่อง<br />1) มนุษย์เกิดมาพร้อมกับความชั่ว การกระทำใด ๆ ของมนุษย์เกิดมาจากแรงกระตุ้นภายในตัวมนุษย์เอง (Bad-active)<br />2) มนุษย์พร้อมที่จะทำความชั่วหากไม่ได้รับการสั่งสอนอบรม<br />3) สมองของมนุษย์นั้นแบ่งออกเป็นส่วน ๆ ซึ่งหากได้รับการฝึกอย่างเหมาะสมจะช่วยทำให้เกิดความเข้มแข็ง สามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้<br />4) การฝึกสมอง หรือฝึกระเบียบวินัยของจิตเป็นสิ่งจำเป็นต่อการพัฒนาให้มนุษย์เป็นคนดีและฉลาด<br />5) การฝึกฝนสมองให้รู้จักคิด ต้องใช้วิชาที่ยาก เช่น วิชาคณิตศาสตร์ ปรัชญา ภาษาลาติร ภาษากรีก และคัมภีร์ไบเบิล เป็นต้น<br />1.1.2 ทฤษฎีของกลุ่มที่เชื่อในความมีเหตุผลของมนุษย์ (Humanistic Mental Discipline) นักิคนสำคัญ คือ พลาโต และอริสโตเติล นักคิดกลุ่มนี้เชื่อ<br />1) พัฒนาการเป็นเรื่องของมนุษย์ มิใช่พระเจ้าบันดาลมา<br />2) มนุษย์เกิดมามีลักษณะไม่ดี ไม่เลว และการกระทำของมนุษย์เกิดจากแรงกระตุ้นภายใน<br />3) มนุษย์เป็นผู้มีเหตุผลพร้อมที่จะพัฒนาตนเอง<br />4) มนุษย์มีความรู้ติดตัวมาแต่เกิด แต่ถ้าขาดการกระตุ้นความรู้จะไม่แสดงออกมา<br />1.2 ทฤษฎีของกลุ่มที่เน้นการพัฒนาไปตามธรรมชาติ (Natural Unfold-ment)<br />นักคิดคนสำคัญในกลุ่มนี้คือ รุสโซ ฟรอเบล และเพสตาลอสซี นักคิดกลุ่มนี้มีความเชื่อ คือ<br />1) มนุษย์เกิดมาพร้อมกับความดี การกระทำใด ๆ เกิดขึ้นจากแรงกระตุ้นภายในตัวมนุษย์เอง<br />2) ธรรมชาติของมนุษย์มีความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้และพัฒนาตนเองหากได้รับเสรีภาพในการเรียนรู้ มนุษย์ก็จะสามารถพัฒนาตนองไปตามธรรมชาติ<br />3) รุสโซมีความเชื่อว่าเด็กไม่ใช่ผู้ใหญ่ตัวเล็ก ๆ เด็กมีสภาวะของเด็ก ซึ่งแตกต่างไปจากวัยอื่น การจัดการศึกษาให้เด็กจึงควรพิจารณาระดับอายุเป็นหลัก<br />4) รุสโซมีความเชื่อว่าธรรมชาติ คือ แหล่งความรู้สำคัญ เด็กควรจะได้เรียนรู้ไปตามธรรมชาติ คือ การเรียนรู้จากการปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ จากผลของการกระทำของตน มิใช่การเรียนจากหนังสือ หรือจากคำพูดบรรยาย<br />5) เพสตาลอสซี มีความเชื่อว่า คนมีธรรมชาติปนกันใน 3 ลักษณะ คือ คนสัตว์ คนสังคม คนธรรม<br />6) เพสตาลอสซี เชื่อว่า การใช้ของจริงเป็นสื่อการสอนจะช่วยให้เด็กเรียนรู้ได้ดี<br />7) ฟรอเบล เชื่อว่า ควรจะให้การศึกษาชั้นอนุบาลแก่เด็กเล็ก อายุ 3-5<br />8) ฟรอเบล เชื่อว่า การเล่นเป็นการเรียนรู้ที่สำคัญของเด็ก<br /><br />1.3 ทฤษฎีของกลุ่มที่เน้นการรับรู้และการเชื่อมโยงความคิด (Apperception or Herbartianism)<br />นักคิดคนสำคัญของกลุ่มนี้ คือ จอห์น ล็อค วิลเฮล์ม วุนด์ ทิชเชเนอร์ และแฮร์บาร์ด ซึ่งมีความเชื่อ ดังนี้<br />1) มนุษย์เกิดมาไม่มีทั้งความดี ความเลวในตัวเอง การเรียนรู้เกิดจากสิ่งแวดล้อม<br />2) จอห์น ล็อค เชื่อว่า การเรียนรู้เกิดจากบุคคลได้รับประสบการณ์ผ่านทางประสาทสัมผัสทั้ง 5<br />3) วุนด์ เชื่อว่า จิตมีองค์ประกอบ 2 ส่วน คือ การสัมผัสทั้ง 5 การรู้สึกและจินตนาการ<br />4) ทิชเชเนอร์เชื่อว่าจิตมีองค์ประกอบ 3 ส่วน คือ การสัมผัสทั้ง 5 การรู้สึก และจินตนาการ<br />5) แฮร์บาร์ต เชื่อว่า การเรียนรู้มี 3 ระดับ คือ ขั้นการเรียนรู้โดยประสาทสัมผัส ขั้นจำ ความคิดเดิม และขั้นการเกิดความคิดรวบยอดและความเข้าใจ<br />6) แฮร์บาร์ต เชื่อว่า การสอนควรเริ่มจากการทบทวนความรู้เดิมของผู้เรียนเสียก่อนแล้วจึงเสนอความรู้ใหม่<br />2. ทฤษฎีเกี่ยวกับการเรียนรู้ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20<br />ทฤษฎีการเรียนรู้ในยุคนี้เริ่มมีลักษณะของความเป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้น มีการทดลองตามกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มากขึ้น<br />2.1 ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรมนิยม (Behaviorism)<br />นักคิดกลุ่มนี้มองธรรมชาติ ของมนุษย์ในลักษณะที่เป็นกลาง คือ ไม่ดี ไม่เลว การกระทำต่าง ๆ ของมนุษย์เกิดจากอิทธิพลของสิ่งแวดล้อมภายนอก พฤติกรรมของมนุษย์เกิดจากการตอบสนองต่อสิ่งเร้า การเรียนรู้เกิดจากการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้าและการตอบสนองประกอบด้วย<br />2.1.1 ทฤษฎีการเชื่อมโยงของ ธอร์นไดค์ (Thorndike’s Classical Connectionism)<br />ธอร์นไดค์ (ค.ศ. 1814-1949) เชื่อว่า การเรียนรู้เกิดจากการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้าและการตอบสนอง กฎของธอร์นไดค์ สรุปได้ ดังนี้<br />1) กฎแห่งความพร้อม (Law of Readiness)<br />2) กฎแห่งการฝึกหัด (Law of Exercise)<br />3) กฎแห่งการใช้ (Law of Use and Disuse)<br />4) กฎแห่งผลที่พึงพอใจ (Law of Effect)<br />2.1.2 ทฤษฎีการวางเงื่อนไข (Conditioning Theory)<br />ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบอัตโนมัติ ของพาฟลอฟ<br />พาฟลอฟ ได้ทำการทดลอง ได้ทำการทดลองให้สุนัขน้ำลายไหลด้วยเสียงกระดิ่ง การทดลองของพาฟลอฟสรุปเป็นการเรียนรู้ได้ ดังนี้<br />1) พฤติกรรมการตอบสนองของมนุษย์เกิดจากการวางเงื่อนไขที่ตอบสนองต่อความต้องการทางธรรมชาติ<br />2) พฤติกรรมการตอบสนองของมนุษย์เกิดขึ้นได้จากสิ่งเร้าที่เชื่อมโยงกับสิ่งเร้าตามธรรมชาติ<br />3) พฤติกรรมการตอบสนองของมนุษย์ที่เกิดจากสิ่งเร้าจนลดลงเรื่อย ๆ และหยุดลงหากได้รับการสนองตามธรรมชาติ<br />4) พฤติกรรมการตอบสนองของมนุษย์ต่อสิ่งเร้าหยุดลงเมื่อไม่ได้รับการตอบสนองตามธรรมชาติ จะกลับปรากฏได้อีกโดยไม่ต้องใช้สิ่งเร้าตามธรรมชาติ<br />5) มนุษย์มีแนวโน้มที่จะรับรู้สิ่งเร้าที่มีลักษณะคล้าย ๆ กัน จะตอบสนองเหมือน ๆ กัน<br />6) บุคคลมีแนวโน้มที่จะจำแนกลักษณะของสิ่งเร้าให้แตกต่างกันและเลือกตอบสนองได้ถูกต้อง<br />7) กฎแห่งการลดภาวะ (Law of Extinction)<br />8) กฎแห่งการฟื้นคืนสภาพเดิมตามธรรมชาติ (Law of Spontaneous Recovery)<br />9) กฎแห่งการถ่ายโยงการเรียนรู้สู่สถานการณ์อื่น ๆ (Law of Generalization)<br />10) กฎแห่งการจำแนกความแตกต่าง (Law of Discrimination)<br /><br />ทฤษฎีการวางเงื่อนไขของวัตสัน (Watson)<br />1) พฤติกรรมเป็นสิ่งที่สามารถควบคุมให้เกิดขึ้นได้ โดยการควบคุมสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไข<br />2) เมื่อสามารถทำให้เกิดพฤติกรรมใด ๆ ได้ก็สามารถลดพฤติกรรมนั้นให้หายไปได้<br /><br />ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบต่อเนื่อง (Contiguous Conditioning) ของกัทธรี<br />1) กฎแห่งความต่อเนื่อง (Law of Contiguity)<br />2) การเรียนรู้เกิดขึ้นขึ้นได้แม้เพียงครั้งเดียว (One trial learning)<br />3) กฎของการกระทำครั้งสุดท้าย (Law of Recency)<br />4) หลักการจูงใจ (Motivation)<br /><br />ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบโอเปอร์แรนต์ (Operant Conditioning) ของสกินเนอร์<br />1) การกระทำใด ๆ ถ้าได้รับการเสริมแรง จะมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นอีก ส่วนการกระทำที่ไม่มีการเสริมแรง แนวโน้มที่ความถี่ของการกระทำนั้นจะลดลง<br />2) การเสริมแรงที่แปรเปลี่ยนทำให้การตอบสนองคงทนกว่าการเสริมแรงตายตัว<br />3) การลงโทษทำให้เรียนรู้ได้เร็วและลืมเร็ว<br />4) การให้เสริมแรงหรือให้รางวัลเมื่ออินทรีย์กระทำพฤติกรรมที่ต้องการ สามารถช่วยปรับหรือปลูกฝังนิสัยที่ต้องการได้<br />2.1.3 ทฤษฎีการเรียนรู้ของฮัลล์ (Hull’ s Systematic Behavior)<br />1) กฎแห่งสมรรถภาพในการตอบสนอง (Law of Reactive inhibition)<br />2) กฎแห่งการลำดับกลุ่มนิสัย (Law of Habit Hierachy)<br />3) กฎแห่งการใกล้จะบรรลุเป้าหมาย (Goal Gradient Hypothesis)<br />2.2 ทฤษฎีการเรียนรู้ของกลุ่มพุทธนิยม (Cognitivism)<br />กลุ่มพุทธนิยม หรือกลุ่มความรู้ ความเข้าใจ หรือกลุ่มที่เน้นกระบวนทางปัญญาหรือความคิด โดยเชื่อว่าการเรียนรู้เป็นกระบวนการทางสติปัญญาของมนุษย์ ในการที่จะสร้างความรู้ ความเข้าใจให้แต่ตนเอง มีทฤษฎีที่สำคัญ ๆ 5 ทฤษฎี คือ<br />2.2.1 ทฤษฎีเกสตัลท์ (Gestalt Theory)<br />1) การเรียนรู้เป็นกระบวนการทางความคิดซึ่งเป็นกระบวนการภายในตัวมนุษย์<br />2) บุคคลจะเรียนจากสิ่งเร้าที่เป็นส่วนรวมได้ดีกว่าส่วนย่อย<br />3) การเรียนรู้เกิดขึ้นได้ 2 ลักษณะ คือ<br />- การรับรู้ (perception)<br />- การหยั่งเห็น<br />4) กฎการจัดระเบียบการรับรู้ (perception)<br />- กฎการรับรู้ส่วนรวมและส่วนย่อย (Law of Pragnanz)<br />- กฎความคล้ายคลึง (Law of Simslarity)<br />- กฎแห่งความใกล้เคียง (Law of Proximity)<br />- กฎแห่งความสมบูรณ์ (Law of Closure)<br />- กฎแห่งความต่อเนื่อง<br />- บุคคลมักมีความคงที่ในความหมายของสิ่งที่รับรู้ตามความเป็นจริง<br />- การรับรู้ของบุคคลอาจผิดพลาด บิดเบือนไปจากความเป็นจริงได้<br />5) การเรียนรู้แบบหยั่งเห็น (insight) ของโคห์เลอร์ ได้สังเกตการณ์เรียนรู้ของลิงในการทดลองพบว่า ปัจจัยสำคัญคือประสบการณ์<br />2.2.2 ทฤษฎีภาคสนาม (Field Theory) ของ เคิร์ท เลวิน<br />1) พฤติกรรมของคนมีพลังและทิศทาง<br />2) การเรียนรู้เกิดขึ้นเมื่อบุคคลมีแรงจูงใจหรือแรงขับที่จะกระทำไปสู่จุดหมายปลายทางที่ตนต้องการ<br />2.2.3 ทฤษฎีเครื่องหมาย (Sig Theory) ของทอลแมน<br />1) ในการเรียนรู้ต่าง ๆ ผู้เรียนมีการคาดหมายรางวัล<br />2) ขณะที่ผู้เรียนพยายามจะไปให้ถึงจุดหมายปลายทางที่ต้องการ<br />3) ผู้เรียนมีความสามารถที่จะปรับการเรียนรู้ของตนไปตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป<br />4) การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นในบุคคลใดบุคคลหนึ่งนั้น บางครั้งจะไม่แสดงออกในทัน<br />ที อาจจะแฝงอยู่ในตัวผู้เรียน<br />2.2.4 ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา (Intellectual Development Theory)<br />ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์<br />1) พัฒนาการทางสติปัญญาของบุคคลเป็นไปตามวัยต่าง ๆ เป็นลำดับขั้นตอน ดังนี้<br />- ขั้นรับรู้ด้วยประสาทสัมผัส อายุ 0-2 ปี<br />- ขั้นก่อนปฏิบัติการคิด ช่วงอายุ 2-7 ปี<br />- ขั้นการคิดแบบรูปธรรม ช่วงอายุ 7-11 ปี<br />2) ภาษาและกระบวนการคิดของเด็กแตกต่างจากผู้ใหญ่<br />3) กระบวนการทางสติปัญญา<br />- การซึมซับหรือการดูดซึม<br />- การปรับและการจัดระบบ<br />- การเกิดความสมดุล<br />ทฤษฎีการพัฒนาทางสติปัญญาของบรุนเนอร์<br />1)โครงสร้างของความรู้ให้มีความสัมพันธ์และสอดคล้องกับพัฒนาการทางสติปัญญาของเด็ก<br />2) การจัดหลักสูตรและการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับระดับความพร้อมของผู้เรียน<br />3) การคิดแบบหยั่งรู้ เป็นการคิดหาเหตุผลอย่างมีอิสระ<br />4) แรงจูงใจภายในเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ผู้เรียนประสบผลสำเร็จในการเรียนรู้<br />5) ทฤษฎีพัฒนาการปัญญาของมนุษย์ แบ่งได้ 3 ขั้นตอน<br />- ขั้นการเรียนรู้จากการกระทำ<br />- ขั้นการเรียนรู้จากความคิด<br />- ขั้นการเรียนรู้สัญลักษณ์และนามธรรม<br />6) การเรียนรู้เกิดขึ้นได้จากการที่เราสามารถสร้างความคิดรวบยอด<br />7) การเรียนรู้ที่ได้ผลดีที่สุด คือ การให้ผู้เรียนค้นพบการเรียนรู้ด้วยตนเอง<br />ทฤษฎีการเรียนรู้อย่างมีความหมาย (A Theory of Meaningful Verbal Learning) ของเดวิด ออซูเบล เชื่อว่าการเรียนรู้จะมีความหมายแก่ผู้เรียน หากการเรียนรู้นั้นสามารถเชื่อมโยงกับสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่น่ารู้มาก่อน<br />2.3 ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มมนุษยนิยม (Humanism) และหลักการศึกษาการสอน<br />นักคิดกลุ่มมนุษยนิยม ให้ความสำคัญกับความเป็นมนุษย์ และมองมนุษย์ว่ามีคุณค่ามีความดีงาม มีความสามารถ มีความต้องการ นักจิตวิทยาคนสำคัญในกลุ่มนี้คือ มาสโลว์ รอเจอร์ส โคม ดนเลส์ แฟร์ อิลลิซ และนีล<br />2.3.1 ทฤษฎีการเรียนรู้ของมาสโลว์ (Maslow, 1962)<br />1) มนุษย์ทุกคนมีความต้องการพื้นฐานตามธรรมชาติเป็นลำดับชั้น<br />2) มนุษย์มีความต้องการที่จะรู้จักตนเองและพัฒนาตนเอง<br />2.3.2 ทฤษฎีการเรียนรู้ของรอเจอร์ส (Rogers)<br />1) การจัดสภาพแวดล้อมทางการเรียนให้อบอุ่น ปลอดภัย<br />2) ผู้เรียนแต่ละคนมีศักยภาพและแรงจูงใจที่จะพัฒนาตนเองอยู่แล้ว<br />3) ในการจัดการเรียนการสอนควรเน้นการเรียนรู้กระบวนการเป็นสำคัญ<br />2.3.3 แนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้ของโคมส์ (Combs)<br />โคมส์ เชื่อว่าความรู้สึกของผู้เรียนมีความสำคัญต่อการเรียนรู้มาก เพราะความรู้สึกและเจตคติของผู้เรียนมีอิทธิพลต่อกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียน<br />2.3.4 แนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้ของ โนลส์ (Knowles)<br />1) ผู้เรียนจะเรียนรู้ได้มากหากมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ด้วยตนเอง<br />2) การเรียนรู้ของมนุษย์เป็นกระบวนการภายใน<br />3) มนุษย์จะเรียนรู้ได้ดีหากมีอิสระที่จะเรยนในสิ่งที่ตนต้องการ<br />4) มนุษย์ทุกคนมีลักษณะเฉพาะตน<br />5) มนุษย์เป็นผู้มีความสามารถและเสรีภาพที่จะตัดสินใจ<br />2.3.5 แนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้ของแฟร์ (Faire)<br />เปาโล แฟร์ เชื่อในทฤษฎีของผู้ถูกกดขี่ ผู้เรียนต้องถูกปลดปล่อยจากการกดขี่ของครูที่สอนแบบเก่า<br />2.3.6 แนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้ของอลลิช (Illich)<br />อิวาน อิลลิช ได้เสนอความคิดเกี่ยวกับการล้มเลิกระบบโรงเรียน การศึกษาควรเป็นการศึกษาตลอดชีวิตแบบเป็นไปตามธรรมชาติ<br />2.6.7 แนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้ของนีล (Neil)<br />นีล กล่าวว่า มนุษย์เป็นผู้มีศักดิ์ศรี มีความดีโดยธรรมชาติหากมนุษย์อยู่ในสภาพแวดล้อมที่อบอุ่น มีอิสรภาพและเสรีภาพ มนุษย์จะพัฒนาไปในทางที่ดี<br />2.4 ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มผสมผสาน (Eclecticism) ของ กานเย<br />2.4.1 ทฤษฎีการเรียนรู้ของกานเย (Gagne)<br />1) ประเภทการเรียนรู้เป็นลำดับขั้นตอน ง่ายไปหายาก 8 ประเภท<br />- การเรียนรู้สัญญาณ<br />- การเรียนรู้สิ่งเร้า การตอบสนอง<br />- การเรียนรู้การเชื่อมโยงแบบต่อเนื่อง<br />- การเชื่อมโยงทางภาษา<br />- การเรียนรู้ความแตกต่าง<br />- การเรียนรู้ความคิดรวบยอม<br />- การเรียนรู้กฎ<br />- การเรียนรู้การแก้ปัญหา<br />2) การเยได้แบ่งสมรรถภาพการเรียนรู้ไว้ 5 ประการ<br />- สมรรถภาพในการเรียนรู้ข้อเท็จจริง<br />- ทักษะเชาว์ปัญญา<br />- ยุทธศาสตร์ในการคิด<br />- ทักษะการเคลื่อนไหว<br />- เจตคติ<br /><br /><br />ทฤษฎีการเรียนรู้และการสอนร่วมสมัย<br />1. ทฤษฎีกระบวนการทางสมองในการประมวลความรู้ (information Processing Theory)<br />ทฤษฎีกระบวนการทางสมองในการประมวลข้อมูล เป็นทฤษฎีที่สนใจเกี่ยวกับกระบวนการพัฒนาสติปัญญาของมนุษย์ โดยให้ความสนใจเกี่ยวกับการทำงานของสมอง ทฤษฎีนี้เริ่มตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1950 จนถึงปัจจุบัน<br />คลอสเมียร์ ได้อธิบายการเรียนรู้ของมนุษย์ โดยเปรียบเทียบการทำงานของคอมพิวเตอร์ กับการทำงานของสมอง<br /><br /><p align="center"><a href="http://2.bp.blogspot.com/_RihehW4OFJ8/S86FHv5zVmI/AAAAAAAAAAM/EO39Bb9fNwo/s1600/image001.png"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5462449766211475042" style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 280px; CURSOR: hand; HEIGHT: 262px" alt="" src="http://2.bp.blogspot.com/_RihehW4OFJ8/S86FHv5zVmI/AAAAAAAAAAM/EO39Bb9fNwo/s400/image001.png" border="0" /></a></p><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br />การรู้คิด หรือ เมอทคอคนิชัน (matacognition) ประกอบด้วยความรู้เกี่ยวกับบุคคล งาน และกลวิธี<br />2. ทฤษฎีพหุปัญญา (Theory of Multiple Intelligences) ผู้บุกเบิกทฤษฎีนั้ คือ การ์ดเนอร์ จากมหาวิทยาลัยอาร์วาร์ด ได้ให้คำนิยาม “เชาว์ปัญญา” (Intelligence)ไว้ว่า หมายถึง ความสามารถในการแก้ปัญหาในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ หรือการสร้างสรรค์ผลงานต่าง ๆ มีความสัมพันธ์กับบริบททางวัฒนธรรมในแต่ละแห่ง<br />การ์ดเนอร์มีความเชื่อพื้นฐานที่สำคัญ 2 ประการ คือ<br />1. เชาว์ปัญญาของบุคคลมี 8 ประการด้วยกัน ได้แก่<br />1.1 เชาว์ปัญญาด้านภาษา<br />1.2 เชาว์ปัญญาด้านคณิตศาสตร์ หรือการใช้เหตุผลเชิงตรรกะ<br />1.3 สติปัญญาด้านมิตรสัมพันธ์<br />1.4 เชาว์ปัญญาด้านดนตรี<br />1.5 เชาว์ปัญญาด้านการเคลื่อนไหวร่างกายและกล้ามเนื้อ<br />1.6 เชาว์ปัญญาด้านการสัมพันธ์กับผู้อื่น<br />1.7 เชาว์ปัญญาด้านการเข้าใจตนเอง<br />1.8 เชาว์ปัญญาด้านความเข้าใจธรรมชาติ<br />2. เชาว์ปัญญาของแต่ละคนจะไม่อยู่คงที่ แต่สามารถเปลี่ยนแปลงได้หากได้รับการส่งเสริมที่เหมาะสม<br />3. ทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง (Constructivism)<br />วีก็อทสกี้ เป็นนักจิตวิทยาชาวรัสเซียทฤษฎีเชาว์ปัญญาของวีก็อทสกี้เน้นความสำคัญของวัฒนธรรม สังคม ละการเรียนรู้ที่มีต่อพัฒนาการเชาว์ปัญญา<br />วีก็ทสกี้แบ่งระดับเชาว์ปัญญาออกเป็น 2 ขั้น คือ<br />1) เชาว์ปัญญาขั้นเบื้องต้น คือ เชาว์ปัญญามูลฐานตามธรรมชาติโดยไม่ต้องเรียนรู้<br />2) เชาว์ปัญญาขั้นสูง คือ เชาว์ปัญญาที่เกิดจากการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใหญ่ที่ให้การอบรมเลี้ยงดู ถ่ายทอดวัฒนธรรมให้ โดยใช้ภาษา วีก็อทสกี้ได้แบ่งพัฒนาการทางภาษา เป็น 3 ขั้น คือ<br />- ภาษาที่ใช้ในการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น เรียกว่า ภาษาสังคม<br />- ภาษาที่พูดกับตนเอง (3-7 ขวบ)<br />- ภาษาที่พูดในใจเฉพาะตน 7 ขวบขึ้นไป<br />สรุปได้ว่าการเรียนรู้ตามทฤษฎีการสร้างความรู้เป็นกระบวนการในการ Acting on ไม่ใช่ Taking in<br />4. ทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเองโดยการสร้างสรรค์ชิ้นงาน (Consructionism)<br />เป็นทฤษฎีพื้นฐานมาจากทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์ ผู้พัฒนาทฤษฎีนี้ คือ ศาสตราจารย์ ซีมัวร์ เพพอร์ท แห่งสถาบันเทคโนโลยีเมสซาซูเซตส์ แนวคิดนี้คือ การเรียนรู้ที่เกิดจากการสร้างพลังการเรียนรู้ในตนเองของผู้เรียน การนำความคิดไปสร้างสรรค์ชิ้นงาน โดยอาศัยสื่อและเทคโนโลยีที่เหมาะสม<br />5. ทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Theory of Cooperative or Collaborative Learning)<br />ทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมมือ เป็นการเรียนรู้เป็นกลุ่มย่อย โดยมีสมาชิกกลุ่มที่มีความสามารถแตกต่างกัน ช่วยกันเรียนรู้ เพื่อนำไปสู่เป้าหมายของกลุ่ม นักศึกษาคนสำคัญ ได้แก่ สลาวิน เดวิดจอห์นสัน และรอเจอร์ จอห์สัน<br />1. องค์ประกอบของการเรียนรู้แบบร่วมมือ<br />1) การพึ่งพาและเกื้อกูลกัน<br />2) การปรึกษาหารือกันอย่างใกล้ชิด<br />3) ความรับผิดชอบที่ตรวจสอบได้ของสมาชิกแต่ละคน<br />4) การใช้ทักษะการปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและทักษะการทำงานกลุ่มย่อย<br />5) การวิเคราะห์กระบวนการกลุ่ม<br />2. ผลของการเรียนรู้แบบร่วมมือ<br />1) มีความพยายามที่จะบรรลุเป้าหมายมากขึ้น<br />2) มีความสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนดีขึ้น<br />3) มุขภาพจิตดีขึ้น<br />3. ประเภทของกลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือ<br />1) กลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมืออย่างเป็นทางการ<br />2) กลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือย่างไม่เป็นทางการ<br />3) กลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมืออย่างถาวร<br />สรุป ทฤษฎีเกี่ยวกับการเรียนรู้และการสอนที่สำคัญ ๆ ได้รับการพัฒนาจากอดีตจนถึงปัจจุบัน เป็นแนวคิดที่ใช้อธิบายลักษณะการเกิดการเรียนรู้ หรือการเปลี่ยนปลงพฤติกรรม จะใช้หลักจิตวิทยาใดควรคำนึงถึงบริบทของสังคมนั้น ๆ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการจัดการศึกษาบริหารการศึกษา กลุ่มดอนทอง52http://www.blogger.com/profile/09977397254587622395noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4331491972544316806.post-57885220294550773312010-04-21T11:15:00.000+07:002010-04-21T11:33:47.681+07:00รายงาน เรื่อง ปรัชญาการศึกษา<div align="center">รายงาน เรื่อง ปรัชญาการศึกษา</div><div align="center">รายงานเรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา หลักและพื้นฐานทางการศึกษาขั้นสูง</div><div align="center">ที่นำเสนอต่อ ผศ.ดร. รุ่งฟ้า กิติญาณุสันต์</div><br /><strong>ความสัมพันธ์ของปรัชญาการศึกษากับการสอน</strong><br /><br />“ปรัชญา” มีความหมายตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2525 ว่าเป็น “วิชาว่าด้วยหลักแห่งความรู้และความจริง” (ราชบัณฑิตยสถาน, 2531) ปรัชญาการศึกษาจึงหมายถึง วิชาว่าด้วยหลักแห่งความรู้และความจริงเกี่ยวกับการศึกษา ศักดิ์ชัย นิรัญทวี (2541) ได้ให้คำนิยามเชิงปฎิ<br />บัติการของปรัชญาการศึกษาไว้ว่า หมายถึง “แนวความคิดพื้นฐานและความคาดหวังในประเด็นที่เกี่ยวกับการศึกษา เช่น เรื่องลักษณะของสังคม ลักษณะของคน และการศึกษาที่พึงปรารถนา ในฐานะที่เป็นหลักการและเป้าหมายของการจัดการศึกษา” (ศักดิ์ชัย นิรัญทวี, 2541: บทสรุป) สาโรช บัวศรี (2525: 62) ได้ช่วยชี้ให้เห็นความหมายและความแตกต่างระหว่างปรัชญาการศึกษากับทฤษฎีการศึกษาไว้ว่าปรัชญาการศึกษา เป็นเรื่องของความคิดหรือระบบของความคิดหรือระบบของความคิดที่เกี่ยวกับการศึกษาที่ตั้งอยู่บนรากฐานของปรัชญาแม่บทอันใดอันหนึ่ง ไม่ใช่เป็นความคิดแบบล่องลอย แต่ต้องเป็นความคิดที่แตกหน่อออกมาจากปรัชญาแม่บทอันใดอันหนึ่ง ถ้าไม่ได้แตกหน่อออกมาจากแม่บทใดๆ แล้ว จะเป็นเพียงหลักการศึกษาหรือทฤษฎีการศึกษา จากคำอธิบายนี้ปรัชญาการศึกษาจึงเป็นความคิดทางการศึกษาที่แตกหน่อมาจากปรัชญาทั่วไป ซึ่งเป็นปรัชญาว่าด้วยความเรียนรู้และความจริงของชีวิต ดังนั้นปรัชญาการศึกษาจึงมีความสัมพันธ์กับการเรียนการสอนอย่างลึกซึ้ง ในฐานะที่เป็นหลักหรือเหตุผลของการคิดและการกระทำต่างๆ ในด้านการจัดการศึกษาและการจัดหลักสูตรและการเรียนการสอน ปรัชญาการศึกษาเป็นความเชื่อความศรัทธา ความเห็นดีเห็นงาม ความเชื่อถือในแนวคิดทางการศึกษา ซึ่งความเชื่อถือและความเห็นคุณค่านี้เอง ที่เป็นแรงผลักดันให้บุคคลคิดและกระทำในเรื่องที่มีความสอดคล้องกับความศรัทธาเชื่อถือนั้นๆ ซึ่งโดยปกติแล้ว ความศรัทธาเชื่อถือนั้นๆ ซึ่งโดยปกติแล้ว ความศรัทธาเชื่อถือในสิ่งใดสิ่งหนึ่งมักจะเกิดขึ้นได้ 2 ทาง ทางแรกเกิดจากความคิด ความรู้สึกภายในหรือแรงบันดาลใจ ซึ่งเกิดขึ้นกับตนเองจากประสบการณ์ต่างๆ ทางที่สองเกิดจากการได้เรียนรู้ในเรื่องนั้นจากบุคคลหรือประสบการณ์ที่ผู้อื่นจัดให้ จนกระทั่งเห็นคุณค่า หรือเกิดความศรัทธาเชื่อถือขึ้นมา หนทางแรกมักเกิดกับผู้เป็นต้นคิดของปรัชญาต่างๆ ซึ่งเรามักถือกันว่าเป็น นักปราชญ์ นักคิดที่ลึกซึ้ง สามารถดึงความรู้จากภายในตัวเองออกมาและจูงใจให้ผู้อื่นเชื่อถือตามได้ ส่วนหนทางที่สอง มักเกิดกับผู้ศึกษาเล่าเรียน ที่มีโอกาสได้เรียนรู้ความคิด ได้เห็นแบบอย่าง และได้รับประสบการณ์ในเรื่องนั้นจนเกิดการซึมซับความคิดนั้นเข้าไปในตนเอง ซึ่งถ้านำศัพท์ทางจิตวิทยามาอธิบายก็สามารถเรียกได้ว่า เป็นการเรียนรู้จากกระบวนการ “internalization” หรือกระบวนการซึมซับความคิดความเชื่อตามทางที่สองนี้มีจำนวนมากกว่าทางแรกมากดังจะเห็นว่า ผู้เป็นต้นคิดของปรัชญาหรือนักปรัชญามีไม่มากนัก แต่ผู้ที่เชื่อถือในปรัชญาและผู้ที่ทำตามปรัชญามีเป็นจำนวนมาก ส่วนปรัชญาใดจะมีผู้ตามจำนวนมากน้อยเพียงใดย่อมขึ้นกับปัจจัยและองค์ประกอบต่างๆ อีกมาก เช่น สาระของปรัชญา ความยากง่ายของปรัชญา วิธีการจูงใจ ความเหมาะสมกับปัญหาและสถานการณ์ในยุคนั้น และสถานะของบุคคลที่คล้อยตาม เป็นต้น<br /><br /><strong>ปรัชญาการศึกษาสากลแนวต่างๆ</strong><br />ปรัชญาการศึกษาซึ่งเป็นที่นิยมกันในกลุ่มประเทศในเขตซีกโลกตะวันตกและเผยแพร่ไปยังประเทศอื่นๆ รวมทั้งประเทศไทยด้วย ที่สำคัญๆ มีดังนี้<br /><br />1. ปรัชญาสารัตถนิยม (Essentialism)<br />ปรัชญาสารัตถนิยม เป็นปรัชญาการศึกษาที่ได้รับอิทธิพลจากปรัชญาจิตนิยม(Idealism)<br />และปรัชญาสัจนิยม (Realism) ซึ่งเป็นปรัชญาทั่วไป<br />ปรัชญาสารัตถนิยมตามแนวจิตนิยม มีความเชื่อถือว่าการศึกษาคือเครื่องมือในการสืบทอดมรดกทางสังคม ซึ่งคือวัฒนธรรมและอุดมการณ์ทั้งหลายอันเป็นแก่นสาระสำคัญ (Essence) ของสังคมให้ดำรงอยู่ต่อ ๆ ไป ดังนั้นหลักสูตรการศึกษาจึงควรประกอบไปด้วย ความรู้ ทักษะ เจตคติ ค่านิยม และวัฒนธรรม อันเป็นแก่นสำคัญซึ่งสังคมนั้นเห็นว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ดีงาม สมควรที่จะรักษาและสืบทอดให้อนุชนรุ่นต่อๆ ไป การจัดการเรียนการสอนจะเน้นบทบาทของครูในการถ่ายทอดความรู้และสาระต่าง ๆ รวมทั้งคุณธรรมและค่านิยมที่สังคมเห็นว่าดีงามแก่ผู้เรียน ผู้เรียนในฐานะผู้รับสืบทอดมรดกทางสังคม ก็จะต้องอยู่ในระเบียบวินัย และพยายามเรียนรู้สิ่งที่ครูถ่ายทอดให้อย่างตั้งใจ<br />ส่วนปรัชญาสารัตถนิยมตามแนวสัจนิยมนั้น (Stumpf, 1994 : 325-340) เชื่อว่าการศึกษาเป็นเครื่องมือในการถ่ายทอกความรู้และความจริงทางธรรมชาติเกี่ยวกับการดำรงชีวิตของมนุษย์ ดังนั้นหลักสูตรการศึกษาจึงควรประกอบไปด้วย ความรู้ ความจริง และการแสวงหาความรู้เกี่ยวกับกฎเกณฑ์และปรากฏการณ์ทางธรรมชาติต่าง ๆ การจัดการเรียนการสอนตามความเชื่อนี้จึงเน้นการให้ผู้เรียนแสวงหาข้อมูล ข้อเท็จจริง และการสรุปกฏเกณฑ์จากข้อมูลข้อเท็จจริงเหล่านั้น<br /><br />2. ปรัชญาสัจนิยมวิทยา (Paternalism)<br />ปรัชญานี้บางท่านเรียกว่า ปรัชญานิรันดรนิยม ปรัชญานี้เชื่อว่า โลกนี้มีบางสิ่งที่มีคุณค่า<br />ถาวร คงที่ และไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งเราควรอนุรักษ์และถ่ายทอดให้คนรุ่นหลังต่อไปสิ่งที่มีคุณค่าถาวรดังกล่าว ได้แก่ ศาสนา ความดี และเหตุผล ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถใช้ได้ในปัจจุบันและในอนาคตตลอดไป<br />ปรัชญานี้เชื่อว่า (Kneller, 1964 : 107-111) คนมีธรรมชาติเหมือนกัน ทุกคน ดังนั้น การศึกษาจึงควรเป็นแบบเดียวกันสำหรับทุกคน และเนื่องจากมนุษย์มีคุณสมบัติที่แตกต่างจากสัตว์อื่น คือเป็นผู้สามารถใช้เหตุผล ดังนั้นการศึกษาจึงควรเน้นการพัฒนาความมีเหตุผล และการใช้เหตุผล มนุษย์จำเป็นต้องใช้เหตุผลในการดำรงชีวิตและควบคุมกำกับตนเอง มิใช่นึกจะทำอะไรก็ทำได้ตามใจชอบ การศึกษาเป็นการเตรียมตัวเพื่อชีวิตเป็นสิ่งที่จะช่วยให้มนุษย์ปรับตัวให้เข้ากับความจริงแท้ที่แน่นอน ถาวรไม่เปลี่ยนแปลง มิใช่เป็นการปรับตัวให้เข้ากับโลกแห่งวัตถุ ซึ่งไม่ใช่ความจริงแท้ ดังนั้นเด็ก ๆ ควรได้รับการสอนวิชาพื้นฐานต่าง ๆ ที่สามารถช่วยให้เขาได้รู้จักและเรียนรู้ความจริงที่เป็นสัจธรรมไม่เปลี่ยนแปลงทั้งทางด้านกายภาพ และจิตใจ และวิชาหรือเนื้อหาสาระที่เป็นความจริงแท้ แน่นอน ไม่เปลี่ยนแปลง ที่เด็กควรจะได้ศึกษาเล่าเรียนคือ “Great Books” ซึ่งประกอบด้วย ศาสนา วรรณคดี ปรัชญา ประวัติศาสตร์ ตรรกศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษาและดนตรี<br />การจัดการเรียนการสอนตามปรัชญานี้ (Kneller, 1964 : 112) จึงมุ่งเน้นการสอนให้ผู้เรียนจดจำใช้เหตุผล และตั้งใจกระทำสิ่งต่าง ๆ โดยผู้สอนใช้การบรรยาย ซักถามเป็นหลัก รวมทั้งเป็นผู้ควบคุม ดูแล ให้ผู้เรียนอยู่ในระเบียบวินัย<br />การจัดการเรียนการสอนโดยปล่อยให้ผู้เรียนมีอิสระจนเกินไปในการที่จะเลือกเรียนตามใจชอบ เป็นการขัดขวางโอกาสที่ผู้เรียนจะได้พัฒนาความสามารถที่แท้จริงของเขา การค้นพบตัวเองต้องอาศัยระเบียบวินัยในตนเอง และระเบียบวินัยในตนเองไม่ใช่ได้มาโดยไม่ต้องอาศัยวินัยจากภายนอก ความสนใจในสิ่งที่เป็นความจริงแท้นั้นมีอยู่ในตัวคนทุกคน แต่มันจะไม่สามารถแสดงออกม่ได้โดยง่าย ต้องอาศัยการศึกษาที่ช่วยฝึกฝนและดึงความสามารถเหล่านี้ออกมา<br /><br />3. ปรัชญาพิพัฒนนิยม (Progressivism)<br />บางท่านเรียกปรัชญาการศึกษานี้ว่า ปรัชญาพิพัฒนาการ หรือปรัชญาพัฒนาการ ปรัชญานี้มีต้นกำเนิดมาจากปรัชญาแม่บทคือ ปรัชญา “Pragmatism” หรือปรัชญา “ปฏิบัตินิยม” ซึ่งได้รับแนวคิดมาจาก ชาลส์ เอส เพียช (Charles S. Pierce) และได้รับการเผยแพร่ให้กว้างขวางขึ้น โดย<br />วิลเลียมเจมส์ (William James) จนได้รับความนิยมสูงสุดเมื่อ จอห์น ดิวอี้ (John Dewey) ได้นำแนวคิดนี้มาใช้ในการศึกษาและในกระบวนการทางกฎหมาย<br />ปรัชญาปฏิบัตินิยม (Stumpf, 1994 :383-400 and Dewey, 1964: 25-50) ให้ความสนใจอย่างมากต่อการ “ปฏิบัติ” หรือ “การลงมือกระทำ” ซึ่งหลายคนอาจเข้าใจผิดว่า นักปรัชญากลุ่มนี้ ไม่สนใจหรือไม่เห็นความสำคัญของ “การคิด” สนใจแต่การกระทำเป็นหลัก แต่แท้ที่จริงแล้ว ความหมายของปรัชญานี้ก็คือ “การนำความคิดให้ไปสู่การกระทำ” นักปรัชญากลุ่มนี้เห็นว่า ลำพังแต่เพียงการคิดไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิต การดำรงชีวิตที่ดี ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของการคิดที่ดี และการกระทำที่เหมาะสม ดิวอี้ได้นำแนวคิดนี้ไปทดลองและประยุกต์ใช้ในการศึกษา เขาได้เสนอและการจัดการเรียนการสอนแบบใหม่ที่เน้นให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากการลงมือทำ หรือที่เรียกกันติดปากว่า “learning by doing” เขาได้ทดลองให้เด็กเรียนรู้จากการกระทำในบรรยากาศที่เอื้อต่อการเรียนรู้ เด็กได้รับอิสระในการริเริ่มความคิดและลงมือทำตามที่คิด ซึ่งเป็นแนวคิดที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างกว้างขวางในการจัดการเรียนการสอน นอกจากนั้น ดิวอี้ ยัได้เน้นความสำคัญของประชาธิปไตย จริยธรรม ศาสนา และศิลปะอีกด้วย ดังนั้น หลักสูตรการศึกษาตามปรัชญานี้จึงเน้นการปลูกฝังการฝึกฝนอบรมในเรื่องดังกล่าวโดยการให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ (experience) และเรียนรู้จากการคิด การลงมือทำและการแก้ปัญหาด้วยตนเอง<br /><br />4. ปรัชญาอัตนิยม (Existentialism)<br />นักปรัชญาคนสำคัญของปรัชญานี้คือ เคิร์กการ์ด (Kierkegaard) และ ซาร์ต (Sartre) ปรัชญานี้ให้ความสนใจที่ตัวบุคคล หรือความเป็นอยู่ มีอยู่ของมนุษย์ ซึ่งมักจะถูกละเลย ปรัชญานี้เชื่อว่า ความจริง (truth) เป็นเรื่องนามธรรมที่ไม่มีคำตอบสำเร็จรูปให้ (Stumpf, 1994 : 486) สาระความเป็นจริงก็คือ ความมีอยู่เป็นอยู่ของมนุษย์ (existence) ซึ่งมนุษย์แต่ละคนจะต้องกำหนดหรือแสวงหาสาระสำคัญ (essence) ด้วยตนเอง โดยการเผชิญกับสถานการณ์ที่เรียกว่า “existential situation” ซึ่งบุคคลแต่ละคนมีเสรีภาพที่จะเลือกและตัดสินใจด้วยตนเอง<br />การจัดการศึกษาตามปรัชญานี้ (Stumpf,1994 :481-490) จึงให้ความสำคัญกับการให้เสรีภาพแก่ผู้เรียนในการเรียนรู้ ให้ผู้เรียนเป็นตัวของตัวเองมากที่สุด และสนับสนุนส่งเสริมผู้เรียนในการค้นหาความหมายและสาระสำคัญของชีวิตของเขาเอง ผู้เรียนมีเสรีภาพในการเลือกสิ่งที่เรียนตามที่ตนต้องการ มีเสรีภาพในการเลือกตัดสินใจเมื่อเผชิญกับปัญหาและสถารการณ์ต่าง ๆ และรับผิดชอบในการตัดสินใจหรือการกระทำของตน เนื้อหาของหลักสูตรนี้มุ่งไปที่สาระที่จะช่วยให้เด็กมีความเข้าใจตนเองและเป็นตัวของตัวเอง เช่น ศิลป ปรัชญา การเขียน การอ่าน การละคร ฯลฯ และเน้นการจัดการศึกษาที่มุ่งพัฒนาเด็กเป็นรายบุคคล ตัวอย่างของการจัดการศึกษาแบบนี้คือที่โรงเรียนหมู่บ้านเด็ก และโรงเรียนซัมเมอร์ฮิลล์ (Summer Hill) เป็นต้น<br /><div align="left"><br />5. ปรัชญาปฏิรูปนิยม (Reconstructionism)<br />ปรัชญานี้เชื่อว่า การปฏิรูปสังคม หรือการพัฒนาสังคมให้ดีขึ้น โดยการช่วยกันแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม การจัดระเบียบของสังคม การอยู่ร่วมกันของคนในสังคม และการส่งเสริมประชาธิปไตย เป็นหน้าที่ของสมาชิกในสังคม และการศึกษาเป็นเครื่องมือสำคัญที่สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคมได้<br />ด้วยเหตุดังกล่าว การศึกษาที่จัดตามปรัชญานี้ จึงมุ่งเน้นการพัฒนาผู้เรียนให้ตระหนักในบทบาทหน้าที่ของตนที่มีต่อสังคมและการปฏิรูปให้สังคมดีขึ้น เนื้อหาของหลักสูตรจะเน้นสาระที่เกี่ยวข้องกับสภาพและปัญหาของสังคม กระบวนการประชาธิปไตยและประสบการณ์การมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคม ส่วนการจัดการเรียนการสอนนั้น จะเน้นการให้ผู้เรียนได้เข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ ทางสังคม และเน้นกระบวนการประชาธิปไตยเพื่อการเป็นสมาชิกที่ดีในสังคมประชาธิปไตย<br /><br />6. ปรัชญาการศึกษาผสมผสาน (Eclecticism)<br />เนื่องจากปรัชญาการศึกษาแต่ละปรัชญาล้วนมีแง่มุมและมีจุดเด่นกันไปคนละแบบ จึงเกิดมีการนำเอาประเด็นต่าง ๆ ของปรัชญามากกว่า 1 ปรัชญามาผสมผสานกัน เพื่อนำไปใช้ในสถานการณ์ที่ต้องการ ทำให้เกิดปรัชญาการศึกษาแบบผสมผสานขึ้น ซึ่งไม่มีสาระของตัวเองที่ตายตัว ขึ้นอยู่กับการผสมผสานของแต่ละบุคคล/กลุ่ม ซึ่งโดยปกติแล้วการผสมผสานจะไม่ใช้แนวคิดของปรัชญาใดปรัชญาหนึ่งทั้งหมด การผสมผสานที่ดี จะต้องมีลักษณะที่กลมกลืน คือประเด็นที่นำมาผสมผสานจะต้องไม่มีความขัดแย้งกัน<br /><br /><strong>ปรัชญาการศึกษาไทย</strong><br /><br />ในช่วงต้นของการสร้างกรุงรัตนโกสินทร์ คือ ระหว่างปี พ.ศ.2325-2426 ประเทศไทยยังไม่มีโรงเรียน แต่มีการเรียนกันที่วัดหรือที่บ้าน ความมุ่งหมายของการศึกษาในขณะนั้นก็คือ การให้สามารถ อ่าน-เขียนภาษาไทย และคิดเลขได้ นอกจากนั้นอาจมีการเรียนช่างฝีมือกันที่บ้าน การเรียนเป็นไปอย่างอิสระ ไม่มีการบังคับว่า ใครจะเรียนอะไร ที่ไหน หนังสือตำราเรียนที่ใช้คือจินดามณี ปฐม ก กา ปฐมมาลา วิธีสอนใช้วิธีให้ผู้เรียนท่องจำ และฝึกหัดทำตาม ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 ประเทศได้รับอิทธิพลจากแนวคิดการจัดการศึกษาของประเทศยุโรป พระองค์ทรงตั้งโรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบขึ้น และเริ่มมีการจัดการศึกษาแก่ประชาชนทั่วไป โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อฝึกหัดคนให้เข้ารับราชการตามความต้องการของบ้านเมืองขณะนั้น ในสมัยรัชกาลที่ 6 ประเทศไทยเริ่มมีแผนการศึกษา และเริ่มมีการนำปรัชญาและทฤษฎีการศึกษาจากประเทศยุโรปมาดัดแปลงใช้ในโรงเรียนฝึกหัดครูต่อมาการศึกษาได้ขยายตัวออกไปอย่างกว้างขวาง โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะให้ประชาชนทุกคนได้รับการศึกษาอย่างทั่วหน้า โดยเน้นการให้การศึกษาองค์ 3 ซึ่งได้แก่ พุทธิศึกษา จริยศึกษา และพลศึกษา เพื่อความเป็นพลเมืองดี ในสมัยรัชกาลที่ 7 ซึ่งเป็นยุคของการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง การศึกษาของชาติมุ่งเน้นในเรื่องการปลูกฝังความเป็นประชาธิปไตย และการศึกษาได้ขยายไปจนถึงระดับอุดมศึกษา รวมทั้งการศึกษาผู้ใหญ่ มีการนำวิธีการสอนตามขั้นทั้ง 5 ของแฮร์บาท (Herbart) มาใช้ในการสอน หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศไทยได้รับความช่วยเหลือจากประเทศที่พัฒนาแล้ว โดยได้รับการสนับสนุนให้นักเรียนไทยจำนวนมากได้รับทุนไปศึกษาต่อในประเทศอเมริกา และยุโรป ซึ่งต่อมา เมื่อนักเรียนเหล่านั้นสำเร็จการศึกษา ก็ได้นำแนวคิดการจัดการศึกษาจากประเทศสหรัฐอเมริกาและยุโรป เข้ามาประยุกต์ใช้ในการจัดการศึกษาของไทย (สาโรช บัวศรี, 2525 :66-68) เป็นเหตุให้ประเทศไทยรับเอาปรัชญาการศึกษาสากล เช่น ปรัชญาสารัตถนิยม (Essentialism) ปรัชญาสัจนิยมวิทยา (Paternalism) และปรัชญาพิพัฒนนิยม (Progressivism) และปรัชญาอื่น ๆ มาใช้ในการจัดการศึกษาของประเทศเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน อย่างไรก็ตามในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา นักคิด นักการศึกษาไทยจำนวนหนึ่งได้เริ่มตระหนักในอิทธิพลของต่างประเทศ และเริ่มหันกลับมาศึกษาหาสิ่งดีมีคุณค่าในวัฒนธรรมดั้งเดิมของไทยซึ่งเชื่อว่า น่าจะเหมาะสมกับประเทศไทยและคนไทยมากกว่าสิ่งที่รับมาจากประเทศอื่น ซึ่งมีรากฐานทางวัฒนธรรมแตกต่างจากไทย นักการศึกษาไทยไเริ่มตั้งคำถามเชิงปรัชญาเกี่ยวกับการศึกษาขึ้นว่า การศึกษาของไทยควรใช้ปรัชญาอะไร เรามีปรัชญาการศึกษาไทย หรือไม่ และถ้ามี ปรัชญาการศึกษาไทยของเราคืออะไร คำถามเชิงปรัชญานี้ ได้รับการตอบสนองจากนักคิด นักการศึกษามากพอสมควร แต่ผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นปราชญ์ผู้สามารถให้คำตอบในเรื่องนี้ได้อย่างลึกซึ้ง คือ พระธรรมปิฏก (ป.อ. ปยุตฺโต) พระสงค์ผู้ทรงคุณความรู้ที่ได้ช่วยนำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา มาใช้ในการอธิบายปรัชญาการศึกษาไทยที่ควรจะเป็น ได้อย่างลึกซึ้ง<br /><br />1. ปรัชญาการศึกษาไทยตามแนวพุทธธรรม โดยพระธรรมปิฏก<br />พระธรรมปิฏก ตั้งแต่ครั้งยังดำรงสมณศักดิ์เป็นพระราชวรมุนี ได้อธิบายว่า (พระราชวรมุนี, 2518 : 1-26) ชีวิตเกิดจากการรวมตัวขององค์ประกอบต่าง ๆ จำนวนมากซึ่งจัดได้เป็น 2 ประเภท คือ องค์ประกอบทางร่างกายและจิตใจ ซึ่งทุกส่วนจะมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาไปตามความสัมพันธ์แห่งเหตุปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งจากภายในและภายนอก ชีวิตจะพยายามเข้าไปเกี่ยวข้องกับปัจจัยที่จะอำนวยประโยชน์แก่ตน หรือเกื้อกูลแก่การดำรงชีวิตของตน หรือช่วยเพิ่มพูลความสามารถของตนที่จะดำรงอยู่ในสถานการณ์ต่าง ๆ ซึ่งจะทำได้มากน้อยเพียงใดย่อมขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอกต่าง ๆ ดังนั้นชีวิตจึงขาดอิสรภาพ ไม่มีความเป็นใหญ่ในตนเอง เพราะต้องถูกครอบงำหรือพึ่งอาศัยปัจจัยภายนอกอยู่ตลอดเวลา แต่เนื่องจากมนุษย์มีคุณลักษณะพิเศษที่ต่างจากชีวิตแบบอื่น ๆ คือ มีองค์ประกอบภายในจิตใจที่เรียกว่า “สติปัญญา” จึงทำให้มนุษย์สามารถที่จะเรียนรู้ และสามารถจัดปัจจัยแวดล้อมทั้งหลายให้เกื้อกูลแก่การดำรงชีวิตของตน ทำให้มนุษย์สามารถหลุดพ้นจากอำนาจครอบงำของสิ่งอื่น ทำให้มีอิสรภาพ หรือมีความเป็นใหญ่ในตนเองขึ้น กระบวนการที่มนุษย์เกิดการเรียนรู้โดยใช้สติปัญญานี้เอง คือการศึกษา ดังนั้นจึงสามารถสรุปได้ว่า<br />“การศึกษามีวัตถุประสงค์เพื่อทำให้ชีวิตเข้าถึงอิสรภาพ คือ ทำให้ชีวิตหลุดพ้นจากอำนาจครอบงำของปัจจัยแวดล้อมภายนอกให้มากที่สุด และมีความเป็นใหญ่ในตัว ในการที่จะกำหนดความเป็นอยู่ของตนให้ได้มากที่สุด”<br />พระราชวรมุนี (2518 : 5)<br /><br />พระราชวรมุนี (ประยุทธ์ ปยุตต.โต) ได้อภิปรายต่อไปเกี่ยวกับเรื่องจุดหมายของชีวิตตามแนวพุทธธรรมว่า คนเราไม่รู้จุดหมายของชีวิตคืออะไร หรือชีวิตเกิดมาเพื่ออะไรเพราะชีวิตเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร คือช้วิตไม่มีจุดหมายในการเกิดนั่นเอง หรืออีกนัยหนึ่ง จุดหมายของชีวิตไม่ใช่สิ่งที่มีติดมากับชีวิต แต่เป็นสิ่งที่เราควรกำหนดให้แก่ชีวิตและการศึกษาควรจะเป็นกระบวนการที่ช่วยให้มนุษย์แสวงหาจุดหมายให้แก่ชีวิตว่า ชีวิตควรอยู่เพื่ออะไรและอย่างไร ดังนั้น “การศึกษาจึงเป็นกิจกรรมของชีวิต โดยชีวิตและเพื่อชีวิต” (พระราชมุนี, 2518:13)<br />บนฐานความคิดข้างต้น กระบวนการของการศึกษา จึงควรประกอบไปด้วยองค์ประกอบสำคัญ ๆ ดังนี้ (พระราชมุนี, 2518:27-47)<br />1) การมีความรู้ ความเข้าใจในสภาวะของสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง เพื่อประโยชน์ในการปรับตัวและสิ่งแวดล้อมอย่างถูกต้อง และการแก้ปัญหาอย่างถูกต้อง ซึ่งหมายถึงการทำลายอวิชชา คือภาวะแห่งความไม่รู้หรือหลงผิด และการทำลายตัณหา อันได้แก่ความทะยายอยากดิ้นรน พร้อมทั้งการสร้างเสริมปัญญา ฉันทะ และกรุณา ซึ่งสามารถฝึกฝนอบรมและพัฒนาได้โดยใช้หลักไตรสิกขา อันได้แก่ (1) ศีล คือการประพฤติปฏิบัติถูกต้องรู้จักยับยั้งควบคุมตัณหาให้อยู่ในขอบเขต และสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมที่ดี ทำให้บุคคลอยู่ในภาวะปลอดโปร่งโล่งใจ (2) สมาธิคือการวางใจแน่วแน่ มั่นคง หนักแน่น ซึ่งองค์ประกอบทั้ง 2 ประการดังกล่าวจะนำให้บุคคลเกิดปัญหา (3) ปัญญาคือการเห็นทางแก้ปัญหาอย่างถูกต้องและเหมาะสม เป็นทางที่เป็นไปเพื่อความดำรงอยู่ด้วยดีร่วมกัน<br />การฝึกฝนอบรมด้วยหลักไตรสิกขาดังกล่าว จะเป็นไปได้ดี จำเป็นต้องอาศัยปัจจัยภายนอกโดยเฉพาะกัลยาณมิตรที่ดี และปัจจัยภายในคือ โยนิโสมนสิการ อันได้แก่ การคิดอันแยบคาย หรือการคิดอย่างถูกวิธี<br />2) การปรับตัวเพื่อเพิ่มพูนความสามารถในการดำรงอยู่ ได้แก่ การพัฒนาองค์ประกอบทางด้านร่างกาย ให้มีสุขภาพดี แข็งแรง และการพัฒนาองค์ประกอบทางด้านจิตใจให้มีสติปัญญาและคุณธรรมมากขึ้น<br />3) การรู้จักและเข้าใจถึงความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันของตนกับสิ่งแวดล้อมและการรู้จักปรับสิ่งแวดล้อมให้เป็นประโยชน์แก่ตน โดยการรู้จักเอาประโยชน์จากสิ่งแวดล้อมแต่พอสมควร เท่าที่มีอยู่ การไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมที่เกื้อกูลแก่ชีวิต การทำตนให้เกื้อกูลแก่สิ่งแวดล้อม และการรู้จักจัดและสร้างสิ่งแวดล้อมใหม่ ๆ ที่อำนวยประโยชน์แก่ชีวิตเหล่านี้ เป็นกระบวนการที่จะช่วยให้ผู้เรียนมีชีวิตที่เป็นอยู่อย่างดี สามารถที่จะดำรงอยู่อย่างมีความสุข มีอิสรภาพจากภาวะที่ถูกบีบคั้น ดิ้นรน และเป็นทุกข์<br />พระพุทธศาสนาเป็นพิ้นฐานของสังคมไทยมาเป็นเวลาช้านานแล้ว ความคิด ความเชื่อ และการดำเนินชีวิตของคนไทยจากอดีตมาสู่ปัจจุบัน มีความผูกพันอย่างแน่นแฟ้นกับพระพุทธศาสนามาอย่างต่อเนื่อง จึงน่าที่การศึกษาไทยจะหันมาพิจารณาแนวคิดดังกล่าวกันอย่างจริงจัง และนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อชีวิตของคนไทยเราเอง<br /><br />2. ปรัชญาการศึกษาไทยตามแนวพระราชดำหริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช<br />ประเทศไทย เช่นเดียวกับประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก ที่ต้องเผชิญกับภาวะวิกฤติด้านต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และสิ่งแวดล้อม ความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แม้จะนำความเจริญมาสู่ประเทศ แต่ก็นำผลข้างเคียงทางลบจำนวนมากมาสู่โลก ประเทศไทยก็ได้รับผลเช่นเดียวกัน เช่น การเกิดภัยแล้ง การขาดฝนในการทำเกษตรกรรมและการกินอยู่ การเกิดน้ำท่วมไร่นาบ้านเรือนเสียหาย อันเป็นผลมาจากการตัดไม้ทำลายป่า การเกิดวิกฤติทางเศรษฐกิจที่ทำให้กิจการบริษัทร้านค้าต่าง ๆ ต้องล้มละลาย อันเป็นผลเนื่องมาจากการลงทุนในสิ่งที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ รวมทั้งการเกิดปัญหาสังคมต่าง ๆ เช่น ปัญหายาเสพติด ปัญหาค่านิยมฟุ้งเฟ้อ และปัญหาการว่างงานเป็นต้น ประเทศไทยต้องเผชิญกับปัญหานานัปการ แต่เนื่องด้วยพระอัจฉริยภาพและพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประเทศไทยจึงผ่านวิกฤติต่าง ๆ มาได้ โครงการในพระราชดำหริในด้านต่าง ๆ จำนวนมาก ได้ยังประโยชน์แก่ประชาชนทุกหมู่เหล่า นับเป็นโชคอันมหาศาลของประชาชนคนไทยโดยทั่วกัน สำหรับทางด้านการศึกษาและการพัฒนาคนนั้นพระองค์ทรงพระราชทานแนวพระราชดำริต่าง ๆ ผ่านทางกระแสพระราชดำรัสเนื่องในวโรกาสต่าง ๆ ในหนังสือ “จอมปราชญ์นักการศึกษา” เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ ได้วิเคราะห์กระแสพระราชดำรัสต่าง ๆ ซึ่งช่วยทำให้เป็นปรัชญาสาระสำคัญของแนวพระราชดำริด้านปรัชญาการศึกษา การจัดการศึกษา และการพัฒนาอันเป็นประโยชน์ต่อการนำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาประเทศ สาระสำคัญของแนวพระราชดำริดังกล่าว สรุปได้ดังนี้ (เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์, 2524 : 18-48)<br /><br /><strong>ความหมายของการศึกษา</strong><br />จากกระแสพระราชดำรัสและพระราชกรณียกิจต่าง ๆ การศึกษาเป็นเสมือนเครื่องมือในการพัฒนามนุษย์ในทุก ๆ ด้านทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ และสติปัญญา เพื่อช่วยให้เป็นพลเมืองดี มีคุณภาพ และมีประสิทธิภาพ สามารถใช้ความรู้และสติปัญญาของตนให้เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ การศึกษาเป็นกระบวนการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพราะเป็นสิ่งจำเป็นต่อการปฏิบัติงานและพัฒนางาน</div><div align="left"><br /><strong>จุดมุ่งหมายของการศึกษา</strong><br />การศึกษาต้องมุ่งพัฒนาและเพิ่มพูลองค์ความรู้ใหม่ พัฒนาศักยภาพของผู้เรียนมุ่งสร้างปัญญาและคุณลักษณะของชีวิต เพื่อช่วยให้ผู้เรียนสามารถดำรงชีพเพื่อตนเอง พึ่งพาตนเองได้ สามารถนำความรู้ไปใช้ในชีวิตจริงได้ และมีส่วนสร้างสรรค์ประโยชน์เพื่อสังคมส่วนรวม</div><div align="left"><br /><strong>แนวทางการจัดการศึกษา</strong><br />เพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายของการศึกษา การจัดการศึกษาจึงมุ่งให้การศึกษาด้านวิชาการโดยการต่อยอดความรู้ควบคู่ไปกับการฝึกฝนขัดเกลาทางความคิด ความประพฤติและคุณธรรม โดยให้มีความเข้าใจในหลักเหตุผล มีความซื่อสัตย์สุจริต รู้จักรับผิดชอบและตัดสินใจในทางที่ถูกต้องเป็นธรรม และควรให้มีการเรียนรู้ทั้งทางด้านทฤษฎีและปฏิบัติควบคู่กันไป โดยเน้นการเรียนรู้แบบสหวิทยาการและการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสมกับบริบทของสังคมไทย<br />จากข้อสรุปข้างต้น จะเห็นได้ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเห็นว่าการศึกษาเป็นเครื่องมือสำหรับพัฒนาชีวิตของแต่ละบุคคลและพัฒนาประเทศชาติโดยส่วนรวมการศึกษาเป็นสิ่งที่จะช่วยให้ชีวิตของแต่ละคนเจริญก้าวหน้าขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ประชาชนจะต้องได้รับอย่างทั่วถึงกันทุกคน และใช้เป็นเครื่องมือในการดำเนินชีวิตไปอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต<br /><br />3. ปรัชญาการศึกษาไทยตามแนวพุทธธรรมจากการวิเคราะห์ของสาโรชบัวศรี<br />สาโรช บัวศรี (2525:68-71) ได้เชิญชวนให้นักศึกษาไทยหันมาพิจารณาถึงการสร้างปรัชญาการศึกษาไทยจากพระพุทธศาสนาขึ้นใช้ในประเทศแทนการรับเอาปรัชญาจากต่างประเทศมาใช้ โดยได้เสนอโครงสร้างของปรัชญาการศึกษาซึ่งประกอบด้วย (1) ความหมายและจุดมุ่งหมายของการศึกษา (2) แนวนโยบายของการศึกษา หรือแนวทางที่จะให้ถึงจุดหมาย และ (3) วิธีการของการศึกษา โดยได้เสนอแนวความคิดเป็นตัวอย่างไว้อย่างน่าสนใจดังนี้</div><div align="left"></div><div align="left"><strong>ความหมายและจุดมุ่งหมายของการศึกษา</strong><br />การศึกษาตามความหมายในนัยทางพระพุทธศาสนา คือ การพัฒนาขันธ์ 5 ของบุคคลทั้งทางร่างกายและจิตใจ เพื่อให้บรรลุชีวิตที่ร่มเย็น ชีวิตที่ร่มเย็น ก็คือชีวิตที่มีอกุศลมูล คือ ความโลภ โกรธ หลง น้อยที่สุด หรือไม่มีเลยก็คือการบรรลุนิพพาน ซึ่งแม้จะยังเป็นไปไม่ได้ที่จะมีชีวิตที่ดีที่สุดมนระดับดังกล่าว การลดอกุศลมูลให้เหลือน้อยที่สุดก็จะสามารถทำให้บุคคลมีชีวิตที่ร่มเย็นได้</div><div align="left"><br /><strong>นโยบายหรือแนวทางการศึกษา</strong><br />แนวทางตามหลักพุทธธรรม ที่จะนำไปสู่จุดหมายของการศึกษาดังกล่าวได้ก็คือ มรรค 8 ซึ่งย่อได้เป็น ศีล สมาธิ และปัญญา นอกจากนั้น ควรให้ผู้เรียนได้ศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับ (1) ตนเอง (2) สิ่งแวดล้อม และ (3) การปฏิสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับสิ่งแวดล้อม โดยให้เรียนวิชาต่าง ๆ เพื่อจะได้พบว่าตนเองถนัดอะไร มีศักยภาพไปในทางใดและต้องมีการเรียน “จริยธรรมศึกษา” เพื่อควบคุมไม่ให้ปฏิสัมพันธ์นั้นเป็นไปในทางเลวหรือไม่เหมาะไม่ควร</div><div align="left"><br /><strong>วิธีการของการศึกษา</strong><br />กระบวนการตามหลักพุทธธรรมที่สามารถช่วยให้การจัดการเรียนการสอนเป็นไปอย่างเหมาะสม ได้แก่ การสอนตามขั้นทั้ง 4 ของอริยสัจ ซึ่งได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค อันเป็นขั้นตอนที่คล้ายกันกับกระบวนการทางวิทยาศาสตร์<br />ตัวอย่างแนวคิดของ สาโรช บัวศรี ดังกล่าวข้างต้น สามารถใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาปรัชญาการศึกษาของไทยได้ นับได้ว่าท่านได้ริเริ่มแนวคิด และให้แนวทางที่นักการศึกษาไทยสมคสรนำไปพิจารณาในรายละเอียด เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาการศึกษาของไทยให้เหมาะสมกับบริบทของสังคมไทยและคนไทยต่อไป<br /><br /><strong>ปัญหาความเข้าใจเกี่ยวกับปรัชญาการศึกษา</strong><br /><br />ดังกล่าวข้างต้นแล้วว่า ปรัชญาการศึกษาเป็นความคิด ความเชื่อถือ ที่ใช้เป็นหลักในการคิด และการจัดหลักสูตรและการสอนให้แก่ผู้เรียน ดังนั้น ผู้เป็นครูซึ่งมีบทบาทสำคัญในการจัดการเรียนการสอนให้แก่ผู้เรียน จึงจำเป็นต้องมีความเข้าใจในเรื่องของปรัชญาการศึกษาด้วย จากประสบการณ์การาสอน การให้คำปรึกษาในการวางแผนการสอน และการนิเทศการสอนของผู้เรียน ปัญหาพื้นฐานที่ผู้เขียนพบบ่อย ๆ มี 2 ประการคือ<br />1. ครูส่วนใหญ่ตอบคำถามไม่ได้ว่า เหตุใดจึงจัดการเรียนการสอนแบบที่ทำอยู่ทำไมจึงทำอย่างนี้ ทำไมไม่สอนแบบอื่น หรือถ้ายิ่งถามตรง ๆ ว่า ครูใช้ปรัชญาหรือหลักการอะไรในการสอน ครูมักจะตอบไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่ได้ทำไปแล้ว ความจริงก็คือ ครูส่วนใหญ่ปฏิบัติการสอนไปตามที่เคยได้รับการศึกษาเล่าเรียนมาและฝึกฝนมา เคยเห็น เคยทำอย่างไร ก็ทำตามนั้น โดยไม่ตระหนักว่า สิ่งที่ทำนั้น ๆ มาจากหลักการหรือฐานความคิดอะไร หรือไม่รู้ตัวว่า ตนทำสิ่งนั้น ๆ เพราะอะไร ที่เป็นเช่นนี้ เพราะครูเหล่านั้นมักมุ่งความสนใจหรือได้รับการสอนที่มุ่งไปที่วิธีการทำ วิธีการปฏิบัติ หรือเทคนิควิธีการ มากกว่าการทำความเข้าใจในพื้นฐานหลักการของเทคนิควิธีเหล่านั้น ซึ่งบางท่านอาจจะแย้งว่า การที่ครูปฏิบัติได้แต่บอกหลักการไม่ได้นั้น ก็นับว่าดีแล้ว ทำได้แต่พูดบอกไม่ได้ ก็ไม่น่าจะเป็นไร ข้อแย้งนี้นับเป็นความจริงส่วนหนึ่ง เพราะการทำได้ แต่อธิบายไม่ได้ น่าจะดีกว่าการรู้ การอธิบายได้ แต่ทำไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ก็คงไม่มีใครปฏิเสธว่า การทำได้และอธิบายได้ด้วยนั้น เป็นการดีที่สุดครูที่ไม่แม่นในหลักการ สนใจแต่เทคนิควิธีการต่าง ๆ อาจปฏิบัติได้จริง แต่การปฏิบัติมักอยู่ในรูปแบบของการเลียนแบบ ไม่สามารถยืดหยุ่นการสอนของตนใหัเหมาะสมกับผู้เรียนได้ และไม่สามารถสร้างสรรค์สิ่งนั้นไห้งอกงามได้ เพราะขาดหลักที่มั่นคง จะผิดกับครูที่ปฏิบัติโดยแม่นในหลักการ เขาจะสามารถแก้ปัญหา ปรับการสอน ใช้เทคนิควิธีการอื่น ไ ที่นอกเหนือจากแบบอย่างที่เห็นหรือเคยได้รับมา หรือสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ซึ่งยังอยู่บนหลักการเดียวกันได้<br />2. ในทางตรงกันข้ามกับข้อแรก ครูบางคนบอกว่าตนมีความเชื่อถือ เห็นดีเห็นงามกับแนวคิดใดแนงคิดหนึ่ง และสอนตามแนวคิดนั้น แต่ปรากฏว่า พฤติกรรมในการสอนตลอดจนการกระทำหลาย ๆ อย่างของครู กลับไม่เป็นไปอย่างสอดคล้องกับแนวคิดนั้น ตัวอย่างที่เห็นได้ง่าย ๆ ก็คือ ครูรู้ว่า ครูควรมีคุณสมบัติของความเป็นประชาธิปไตย ครูควรรับฟัง ยอมรับความคิดเห็นของผู้เรียน เคารพในความเป็นมนุษย์ของผู้เรียน และควรฝึกให้ผู้เรียนมีคุณสมบัติดังกล่าวด้วย แต่ปรากฏว่า ครูมีการกระทำหลายอย่างที่เป็นไนทางตรงกันข้าม เช่น เมื่อผู้เรียนเสนอความคิดที่ไม่ตรงกับความคิดเห็นของตน ก็แสดงกิริยาท่าทางที่ไม่พอใจบางครั้งก็เผลอใช้วาจาดูถูกผู้เรียนที่เรียนอ่อน และแสดงความพอใจ สนับสนุนผู้เรียนที่เรียนเก่ง โดยปฏิบัติต่อผู้เรียนอย่างไม่เสมอภาค ยุติธรรม กรณีทำนองนี้ มีเป็นจำนวนมากเนื่องจากครูส่วนใหญ่รับความคิด ความเชื่อ หรือปรัชญาต่าง ๆ มาจากการศึกษา หรือรับรู้มาว่า สิ่งนั้น สิ่งนี้ดี ควรกระทำ จนกระทั่งคิดว่าตนมีความเชื่อถือ ศรัทธา ในแนวคิดนั้นจริง ๆ แต่แท้ที่จริงแล้ว ในความเป็นจริงหรือใจจริงลึก ๆ แล้ว มิได้มีความเชื่อถือ ศรัทธาอย่างแท้จริงเกิดขึ้น เป็นผลทำให้เกิดการกระทำที่ไม่สอดคล้องกับความเชื่อที่ตนคิดว่าเชื่อ หรืออาจเป็นเพราะสิ่งที่เชื่อนั้นยังไม่เข้มข้น ความเชื่ออื่นหรือความเชื่อเก่าซึ่งแฝงอยู่ในส่วนลึกอาจมีพลังมากกว่าก็เป็นได้ ที่กล่าวมาเช่นนี้ มิได้หมายความว่า ครูเหล่านั้นมีความผิดที่ไม่สามารถปรับหรือพัฒนาตนเองให้มีพฤติกรรมตามปรัชญาการศึกษาที่พึงประสงค์ เพียงแต่ต้องการจะชี้ให้เห็นว่า ปัญหาลักษณะนี้ เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้น เนื่องจากการศึกษาเล่าเรียนหรือการรับรู้ในแนวคิดใด ๆ นั้น แม้จะสามารถปลูกฝังความคิด ความเชื่อ ต่าง ๆ ได้ แต่ก็ไม่สามารถรับประกันได้เต็มที่ว่า จะช่วยให้บุคคลนั้นมีความเชื่อถือ ศรัทธาในความคิดนั้นอย่างแท้จริง ความเชื่อถือศรัทธาในสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างแท้จริง จนกระทั่งการกระทำต่าง ๆ ของตนมีความสอดคล้อง กลมกลืน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับความเชื่อของตนนั้น ต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่าง ที่สำคัญคือ เวลา ประสบการณ์ บทพิสูจน์ ผลที่ได้รับ ฯลฯ ซึ่งสามารถช่วยปรับระดับความเชื่อให้มากขึ้นหรือลดลงได้ แล้วแต่กรณี<br /><br />ข้อเสนอแนะเพื่อการพัฒนาความเข้าใจของครูเกี่ยวกับปรัชญาการศึกษา<br /><br />ปัญหาหลัก ๆ ทั้ง 2 ประการดังกล่าวข้างต้น เป็นปัญหาพื้นฐานที่สมควรได้รับเอาใจใส่ดูแล และแก้ไข ซึ่งผู้เขียนขอเสนอแนะแนวทางในการดำเนินการ ดังนี้<br /><br /><strong>ก. ข้อเสนอแนะสำหรับครู</strong><br />1. ในการศึกษาเกี่ยวกับการสอน ครูพึงให้ความสนใจในหลักการ มิใช่มุ่งความสนใจไปที่<br />เทคนิควิธีการเท่านั้น ครูควรพยายามทำความเข้าใจในหลักการ จับหลักการให้แม่นและหมั่นประยุกต์ ใช้หลักการนั้นในสถานการณ์ที่หลากหลาย<br />2. ครูพึงศึกษาแนวความคิด ความเชื่อ หรือหลักการต่าง ๆ ซึ่งมีอยู่อย่างหลากหลาย<br />และเลือกสรรสิ่งที่ตนเชื่อถือ หมั่นวิเคราะห์การคิดและการกระทำของตนว่าสอดคล้องกันหรือไม่ และการศึกษาผลของการกระทำ เพื่อปรับเปลี่ยนหรือยืนยันแนวความคิดความเชื่อนั้นต่อไป<br />3. ครูพึงเปิดใจกว้างในการศึกษาแนวความคิด ความเชื่อ หรือหลักการต่าง ๆ ที่แตก<br />ต่างไปจากความคิดของตน และเปิดโอกาสให้ตนองได้มีประสบการณ์ในสิ่งที่แตกต่างออกไป โดยการทดลองปฏิบัติ หรือศึกษา วิจัย เพื่อพิสูจน์ทดสอบแนวคิดใหม่ ๆ อันอาจจะนำมาซึ่งทางเลือกใหม่ ๆ ทำให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น มีความแปลกใหม่ มีชีวิตชีวา น่าตื่นเต้น และน่าเรียนรู้ ทั้งสำหรับครูและผู้เรียน<br /><br /><strong>ข. ข้อเสนอแนะสำหรับสถาบันผลิตครู และหน่วยงานที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการพัฒนาครู</strong><br />1. สถาบันผลิตครูควรฝึกให้นิสิตนักศึกษาครูสามารถกระทำตามข้อเสนอแนะทั้ง 3 ข้อ ที่ให้ไว้สำหรับครู ดังกล่าวไว้ข้างต้น ซึ่งก็หมายถึง การปรับเปลี่ยนจุดมุ่งหมายสาระและวิธีสอนของตนให้สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ข้างต้นได้<br />2. หน่วยงานที่รับผิดชอบในการพัฒนาครู และหน่วยงานหรือโรงเรียนที่ครูสังกัดอยู่ ควรให้การสนับสนุนครู ในการศึกษา วิจัย ทดลอง พิสูจน์ ทดสอบ ความคิด ความเชื่อต่าง ๆ เพื่อให้ครูได้ศึกษาผลของการกระทำ อันจะเป็นแรงเสริมทางบวกหรือทางลบต่อการเชื่อถือหรือปรับเปลี่ยนความเชื่อของตน<br />3. หน่วยงานที่รับผิดชอบในการพัฒนาครู และหน่วยงานหรือโรงเรียนที่ครูสังกัดอยู่ ควรให้<br />การสนับสนุนปัจจัยต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการปฏิบัติตามความคิด ความเชื่อ ที่ครูเลือกสรร เพื่อให้ครูสามารถปฏิบัติตามแนวคิดนั้นได้อย่างจริงจัง และเต็มที่<br />4. หน่วยงานหรือโรงเรียนที่ครูสังกัดอยู่ ควรจัดระบบการนิเทศภายในที่มีประสิทธิภาพ<br />เพื่อช่วยเหลือครูในการสอนและการศึกษาทดลองต่าง ๆ รวมทั้งควรเปิดโอกาสให้ครูได้รับประสบการณ์ใหม่ ๆ เกี่ยวกับแนวคิดใหม่ ๆ ด้วยหากทุกฝ่ายต่างพยายามช่วยกันแก้ปัญหาดังกล่าว ก็หวังได้ว่าเราจะได้ครูซึ่งมีความรู้ความ<br />สามารถทั้งในด้านหลักการและการปฏิบัติการสอนที่มีประสิทธิภาพตามต้องการ<br /><br /><strong>สรุป</strong><br /><br />ปรัชญาการศึกษาเป็นปรัชญาที่แตกหน่อมาจากปรัชญาแม่บทหรือปรัชญาทั่วไปที่ว่าด้วยความรู้ความจริงของชีวิต หากบุคคลมีความเชื่อว่า ความจริงของชีวิตเป็นอย่างไรปรัชญาการศึกษาจะจัดการศึกษาพัฒนาคนและพัฒนาชีวิตให้เป็นไปตามนั้น ส่วนการจัดการเรียนการสอนก็จะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามหลักปรัชญาการศึกษานั้น ๆ ดังนั้นการศึกษาเรื่องการเรียนการสอนว่าควรจะเป็นอย่างไร จึงต้องศึกษาถึงที่มีคือปรัชญาการศึกษาด้วยปรัชญาการศึกษาสากลที่นิยมกันโดยทั่วไปมี 6 แนวด้วยกัน ได้แก่<br />1. ปรัชญาสารัตถนิยม (Essentialism) เป็นปรัชญาที่เชื่อว่า การศึกษาเป็นเครื่องมือในการถ่ายทอดความรู้ความจริงทางธรรมชาติ<br />2. ปรัชญาสัจนิยมวิทยา (Paternalism) เป็นปรัชญาที่เชื่อว่าโลกนี้มีบางสิ่งที่มีคุณค่าถาวร ไม่เปลี่ยนแปลง ที่เราควรอนุรักษ์และถ่ายทอดให้คนรุ่นหลังต่อไป<br />3. ปรัชญาพิพัฒนนิยม (Progressivism) ซึ่งเชื่อว่าการดำรงชีวิตที่ดี ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของการคิดที่ดีและการกระทำที่เหมาะสม<br />4. ปรัชญาอัตนิยม (Existentialism) เป็นปรัชญาที่เชื่อในความมีอยู่เป็นอยู่ของมนุษย์ มนุษย์แต่ละคนจะต้องกำหนดหรือแสวงหาสาระสำคัญ (essence) ด้วยตนเอง<br />5. ปรัชญาปฏิรูปนิยม (Reconstructionism) เป็นปรัชญาที่เชื่อว่า การปฏิรูปสังคม เป็นหน้าที่ของสมาชิกของคนในสังคมทุกคน และการศึกษาเป็นเครื่องมือที่สำคัญสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคมได้<br />6. ปรัชญาการศึกษาแบบผสมผสาน เป็นปรัชญาที่ไม่ใช้แนวคิดของปรัชญาใด ปรัชญาหนึ่งทั้งหมด แต่ได้ผสมผสานปรัชญาหลายปรัชญาแข้าด้วยกันอย่างกลมกลืนและไม่ขัดแย้งกัน<br />ส่วนทางด้สนปรัชญาการศึกษาขอวไทยนั้น ผู้ให้แนวคิดที่สำคัญ ๆ คือ พระธรรมปิฏก (ประยุทธ์ ปยุต.โต) ซึ่งได้วิเคราะห์และเผยแพร่แนวคิดเกี่ยวกับปรัชญาการศึกษาไทยตามแนวพุทธธรรม ปรัชญาการศึกษาไทยตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และปรัชญาการศึกษาไทยตามแนวพุทธธรรมจากการวิเคราะห์ของสาโรช บัวศรี ซึ่งปรัชญาดังกล่าวสมควรนำมาพิจารณาและใช้ในการวางนโยบาย แนวทางและจุดมุ่งหมายในการจัดการศึกษาของประเทศต่อไป และเนื่องจากปรัชญาการศึกษาเป็นที่มาหรือหลักยึดในการจัดการศึกษาและการเรียนการสอนของครู ผู้ผลิตครูจึงควรสอนโดยมุ่งเน้นให้ผู้เรียน (ครูในอนาคต) ได้เรียนรู้หลักการให้แม่น มิใช่มุ่งเน้นแต่เทคนิคของการปฏิบัติเนื่องจากการปฏิบัติและการแก้ปัญหาโดยขาดควาามรู้ ความเข้าใจและความเชื่อในหลักการแล้ว ย่อมจะเกิดปัญหาในภายหลัง</div>บริหารการศึกษา กลุ่มดอนทอง52http://www.blogger.com/profile/09977397254587622395noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-4331491972544316806.post-50008656931052621232010-04-19T11:20:00.000+07:002010-04-19T11:40:15.005+07:00เทคนิคการใช้คำถามตามระดับจุดมุ่งหมายทางด้านพุทธิพิสัยของบลูม<div align="center"><strong>เทคนิคการใช้คำถามตามระดับจุดมุ่งหมายทางด้านพุทธิพิสัยของบลูม</strong></div><br />สำเนาจาก ทิศนา แขมมณี , 2545 , ศาสตร์การสอน: องค์ความรู้เพื่อจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ , จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย , กรุงเทพฯ.<br /><br />เอกสารประกอบการจัดกิจกรรมโดย ดร.รุ่งฟ้า กิติญาณุสันต์<br /><p><br />บลูม (Bloom) ได้จัดจุดมุ่งหมายทางการศึกษาไว้ 3 ด้านคือ ด้านพุทธิพิสัย จิตพิสัย และทักษะพิสัย ซึ่งในด้านพุทธิพิสัย (Cognitive Domain) นั้น บลูมได้จัดระดับจุดมุ่งหมายตามระดับความรู้จากต่ำไปสูงไว้ 6 ระดับคือ ระดับความรู้ความจำ ความเข้าใจ การนำไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการประเมินผล ซึ่งผู้สอนสามารถนำไปใช้เป็นแนวในการตั้งคำถาม เพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดการคิดในระดับที่สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ตัวอย่างเช่น เมื่อถามคำถามแล้วพบว่า ผู้เรียนมีความรู้ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้ว ผู้สอนควรตั้งคำถามในระดับที่สูงขึ้น คือระดับความเข้าใจ หรือถ้าผู้เรียนมีความเข้าใจแล้ว ผู้สอนก็ควรตั้งคำถามในระดับที่สูงขึ้นไปอีก คือระดับการนำไปใช้การที่ผู้สอนจะสามารถตั้งคำถามเพื่อกระตุ้นความคิดของผู้เรียนตามจุดมุ่งหมายทางด้านพุทธิพิสัยของบลูมให้สูงขึ้นนั้น ผู้สอนจำเป็นต้องมีความเข้าใจในความหมายของระดับความรู้ทั้ง 6 ประการ ผู้สอนจำเป็นต้องเข้าใจลักษณะของความรู้แต่ละระดับ และพฤติกรรมที่แสดงออกถึงความรู้นั้น ดังนี้<br /><strong>1 การเรียนรู้ในระดับความรู้ ความจำ (knowledge)</strong> การเรียนรู้ในระดับนี้เป็นการเรียนรู้ที่ผู้เรียนสามารถตอบได้ว่าสิ่งที่ได้เรียนรู้มามีสาระอะไรบ้าง ซึ่งการที่สามารถตอบได้นั้น ได้มาจากการจดจำเป็นสำคัญ ดังนั้น คำถามที่ใช้ในการทดสอบการเรียนรู้ในระดับนี้ จึงมักเป็นคำถามที่ถามถึงข้อมูล สาระ รายละเอียดของสิ่งที่เรียนรู้ และให้ผู้เรียนแสดงพฤติกรรมที่บ่งชี้ว่าตนมีความรู้ความจำในเรื่องนั้น ๆ ดังตัวอย่างดังนี้<br /><strong>พฤติกรรมที่บ่งชี้ถึงการเรียนรู้ในระดับความรู้ความจำ</strong></p><p>- บอก - รวบรวม<br />- เล่า - ประมวล<br />- ชี้ - จัดลำดับ<br />- ระบุ - ให้ความหมาย<br />- จำแนก - ให้คำนิยาม<br />- ท่อง - เลือก<br /><br /><strong>เนื้อหา/สิ่งที่ถามถึง</strong><br />- ศัพท์ - วิธีการ<br />- เกณฑ์ - หมวดหมู่<br />- กระบวนการ - ระบบ<br />- รายละเอียด - ความสัมพันธ์<br />- ระเบียบ -บุคคล<br />- สาเหตุ - แบบแผน<br />- เหตุการณ์ - หลักการ<br />- ทฤษฎี - โครงสร้าง<br />- สถานที่ - องค์ประกอบ<br />- สัญลักษณ์ - เวลา<br />- กฎ - คุณลักษณะ<br /><br /><strong>2 การเรียนรู้ในระดับความเข้าใจ (comprehension)</strong> หมายถึงการเรียนรู้ในระดับที่ผู้เรียนเข้าใจความหมาย<br />ความสัมพันธ์และโครงสร้างของสิ่งที่เรียนและสามารถอธิบายสิ่งที่เรียนรู้นั้นได้ด้วยคำพูดของตนเอง ผู้เรียนที่มี<br />ความเข้าใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หลังจากได้ความรู้ในเรื่องนั้นมาแล้ว จะสามารถแสดงออกได้หลายทาง เช่น<br />สามารถตีความได้ แปลความได้ เปรียบเทียบได้ บอกความแตกต่างได้ เป็นต้น ดังนั้น คำถามในระดับนี้<br />จึงมักเป็นคำถามที่ช่วยให้ผู้เรียนแสดงพฤติกรรมที่บ่งชี้ถึงความเข้าใจของตนในเรื่องนั้น ๆ ดังตัวอย่างต่อไปนี้<br /><strong>พฤติกรรมที่บ่งชี้ถึงการเรียนรู้ในระดับความเข้าใจ</strong><br />- อธิบาย (โดยใช้คำพูด) - ขยายความ<br />- เปรียบเทียบ - ลงความเห็น<br />- แปลความหมาย - แสดงความคิดเห็น<br />- ตีความหมาย - คาดการณ์ คาดคะเน<br />- สรุป ย่อ - ทำนาย<br />- บอกใจความสำคัญ - กะประมาณ<br /><strong>เนื้อหา/สิ่งที่ถามถึง</strong><br />- ศัพท์ - วิธีการ<br />- ความหมาย - กระบวนการ<br />- คำนิยาม - ทฤษฎี หลักการ<br />- สิ่งที่เป็นนามธรรม - แบบแผน โครงสร้าง<br />- ผลที่จะเกิดขึ้น - ความสัมพันธ์<br />- ผลกระทบ - เหตุการณ์ สถานการณ์<br /><br /><strong>3 การเรียนรู้ในระดับการนำไปใช้ (application)</strong> หมายถึงการเรียนรู้ในระดับที่ผู้เรียนสามารถนำข้อมูล ความรู้ และความเข้าใจที่ได้เรียนรู้มาไปใช้ในการหาคำตอบและแก้ปัญหาในสถานการณ์ต่าง ๆ ดังนั้นคำถามในระดับนี้จึงมักประกอบด้วยสถานการณ์ที่ผู้เรียนจะต้องดึงความรู้ ความเข้าใจ มาใช้ในการหาคำตอบ โดยผู้เรียนมีพฤติกรรมที่บ่งชี้ถึงการเรียนรู้ในระดับสามารถนำไปใช้ได้ ดังตัวอย่างต่อไปนี้<br /><strong>พฤติกรรมที่บ่งชี้ถึงการเรียนรู้ในระดับการนำความรู้ไปใช้</strong><br />- ประยุกต์ ปรับปรุง- แก้ปัญหา<br />- เลือก- จัด<br />- ทำ ปฏิบัติ แสดง สาธิต ผลิต<br /><strong>เนื้อหา/สิ่งที่ถามถึง</strong><br />- กฎ - วิธีการ<br />- หลักการ - กระบวนการ<br />- ทฤษฎี - ปัญหา<br />- ปรากฏการณ์ - ข้อสรุป<br />- สิ่งที่เป็นนามธรรม - ข้อเท็จจริง<br /><br /><strong>4 การเรียนรู้ในระดับการวิเคราะห์ (analysis)</strong> หมายถึงการเรียนรู้ในระดับที่ผู้เรียนต้องใช้การคิดอย่างมีวิจารณญาณและการคิดที่ลึกซึ้งขึ้นเนื่องจากไม่สามารถหาคำตอบได้จากข้อมูลที่มีอยู่โดยตรง ผู้เรียนต้องใช้ความคิดหาคำตอบจากการแยกแยะข้อมูลและหาความสัมพันธ์ของข้อมูลที่แยกแยะนั้น หรืออีกนัยหนึ่งคือการเรียนรู้ในระดับ<br />ที่ผู้เรียนสามารถจับได้ว่าอะไรเป็นสาเหตุ เหตุผลหรือแรงจูงใจที่อยู่เบื้องหลังปรากฏการณ์ใดปรากฏการณ์หนึ่ง<br />การวิเคราะห์โดยทั่วไป มี 2 ลักษณะคือ<br />4.1 การวิเคราะห์จากข้อมูลที่มีอยู่เพื่อให้ได้ข้อสรุปและหลักการที่สามารถนำไปใช้ในสถานการณ์อื่น ๆ ได้<br />4.2 การวิเคราะห์ข้อสรุป ข้ออ้างอิง หรือหลักการต่าง ๆ เพื่อหาหลักฐานที่สามารถสนับสนุนหรือปฏิเสธข้อความนั้นตัวอย่างพฤติกรรมที่สามารถบ่งชี้ถึงการเรียนรู้ในระดับวิเคราะห์ได้ มีดังนี้<br /><strong>พฤติกรรมที่บ่งชี้ถึงการเรียนรู้ในระดับการวิเคราะห์</strong><br />- จำแนกแยกแยะ - หาข้ออ้างอิง<br />- หาเหตุและผล - หาหลักฐาน<br />- หาความสัมพันธ์ - ตรวจสอบ<br />- หาข้อสรุป - จัดกลุ่ม<br />- หาหลักการ - ระบุ ชี้<br /><strong>เนื้อหา/สิ่งที่ถามถึง<br /></strong>- ข้อมูล ข้อความ เรื่องราว เหตุการณ์<br />- เหตุและผล องค์ประกอบ ความคิดเห็น<br />- สมมติฐาน ข้อยุติ ความมุ่งหมาย<br />- รูปแบบ ระบบ โครงสร้าง<br />- วิธีการ กระบวนการ<br /><br /><strong>5 การเรียนรู้ในระดับการสังเคราะห์ (synthesis)</strong> หมายถึงการเรียนรู้ที่อยู่ในระดับที่ผู้เรียนสามารถ<br />(1) คิด ประดิษฐ์ สิ่งใหม่ขึ้นมาได้ ซึ่งอาจอยู่ในรูปของสิ่งประดิษฐ์ ความคิด หรือ ภาษา<br />(2) ทำนายสถานการณ์ในอนาคตได้<br />(3) คิดวิธีการแก้ปัญหาได้ (แต่แตกต่างจากการแก้ปัญหาในขั้นการนำไปใช้ ซึ่งจะมีคำตอบถูกเพียงคำตอบเดียว แต่วิธีการแก้ปัญหาในขั้นนี้ อาจมีคำตอบได้หลายคำตอบ) พฤติกรรมที่สามารถบ่งชี้การเรียนรู้ในระดับนี้ มีดังนี้<br /><strong>พฤติกรรมที่บ่งชี้ถึงการเรียนรู้ในระดับการสังเคราะห์</strong><br />- เขียนบรรยาย อธิบาย เล่า บอก เรียบเรียง<br />- สร้าง จัด ประดิษฐ์ แต่ง ดัดแปลง ปรับ แก้ไข ทำใหม่ ออกแบบ ปฏิบัติ<br />- คิดริเริ่ม ตั้งสมมติฐาน ตั้งจุดมุ่งหมาย ทำนาย<br />- แจกแจงรายละเอียด จัดหมวดหมู่<br />- สถานการณ์ วิธีแก้ปัญหา<br /><strong>เนื้อหา/สิ่งที่ถามถึง</strong><br />- ความคิด การศึกษาค้นคว้า แผนงาน<br />- สมมติฐาน จุดมุ่งหมาย<br />- ทฤษฎี หลักการ โครงสร้าง รูปแบบ แบบแผน ส่วนประกอบ ความสัมพันธ์ แผนภาพ แผนภูมิ ผังกราฟิก<br /><br /><strong>6 การเรียนรู้ในระดับการประเมินผล (evaluation)</strong> หมายถึงการเรียนรู้ในระดับที่ผู้เรียนต้องใช้การตัดสินคุณค่า ซึ่งก็หมายความว่า ผู้เรียนจะต้องสามารถตั้งเกณฑ์ในการประเมินหรือตัดสินคุณค่าต่าง ๆ ได้ และแสดงความคิดเห็นในเรื่องนั้นได้ พฤติกรรมบ่งชี้การเรียนรู้ในระดับนี้มีตัวอย่างดังนี้<br />พฤติกรรมที่บ่งชี้ถึงการเรียนรู้ในระดับการประเมินผล<br />- วิพากษ์วิจารณ์ ตัดสิน ประเมินค่า ตีค่า สรุป<br />- เปรียบเทียบ จัดอันดับ กำหนดเกณฑ์/กำหนดมาตรฐาน<br />- ตัดสินใจ แสดงความคิดเห็น ให้เหตุผล บอกหลักฐานเนื้อหา/สิ่งที่ถามถึง<br />- ข้อมูล ข้อเท็จจริง การกระทำความคิดเห็น- ความถูกต้อง ความแม่นยำ<br />- มาตรฐาน เกณฑ์ หลักการ ทฤษฎี- คุณภาพ ประสิทธิภาพ<br />- ความเชื่อมั่น ความคลาดเคลื่อน อคติ<br />- วิธีการ ประโยชน์ ค่านิยม<br /><br /><strong>ตัวอย่างการตั้งคำถาม ตามระดับจุดมุ่งหมายทางด้านพุทธิพิสัยของบลูม<br /></strong>สมมติว่า ครูระดับประถมศึกษาท่านหนึ่งต้องการสอนให้นักเรียนมีความรู้ในเรื่องกลอน 8 โดยให้นักเรียนอ่าน<br />เรื่องพระอภัยมณีของสุนทรภู่ ครูสามารถใช้คำถามกระตุ้นให้นักเรียนคิด และค่อย ๆ ยกระดับการเรีนรู้ของผู้เรียนจากระดับต่ำสุดขึ้นไปจนถึงสูงสุดได้ดังนี้<br /><br /><strong>ตัวอย่างคำถามระดับความรู้ความจำ</strong><br />1. กลอน 8 คืออะไร<br />2. สัมผัสนอก คืออะไร<br />3. สัมผัสใน คืออะไร<br />4. ยกตัวอย่างกลอน 8 ที่จำได้มา 2 บท<br /><br /><strong>ตัวอย่างคำถามระดับความเข้าใจ<br /></strong>5. จากตัวอย่างที่ให้นี้ กลอนบทไหนเป็นกลอน 8<br />6. กลอน 8 ต่างจากกลอน 4 อย่างไร<br />7. จงบรรยายความไพเราะของกลอน 8<br />8. ถ้านักเรียนต้องอธิบายให้เด็กที่ไม่รู้จักกลอน 8 มาก่อน ได้รู้จักลักษณะของกลอน 8 จะอธิบายอย่างไร<br /><br /><strong>ตัวอย่างคำถามระดับการนำไปใช้</strong><br />9. กลอน 8 จำนวน 2 บทนี้ มีปัญหาเกี่ยวกับการสัมผัสอะไรบ้าง<br />10. จงปรับปรุงกลอนบทที่ให้มานี้ให้ดีขึ้น<br />11. บทกลอนที่ให้นี้ ยังไม่สมบูรณ์ จงเติมคำที่เหมาะสมลงในช่องว่างให้สมบูรณ์และถูกต้องตามหลักกลอน 8<br />12. กลอนบทนี้ มีลักษณะที่ผิดหลักกลอน 8 อยู่กี่แห่ง ตรงไหนบ้าง<br /><br /><strong>ตัวอย่างคำถามระดับการวิเคราะห์</strong><br />13. กลอนของสุนทรภู่บทนี้ ได้รับอิทธิพลจากอะไรบ้าง<br />14. กลอนของสุนทรภู่บทนี้ต้องการบอกความจริงอะไรแก่ผู้อ่าน<br />15. อะไรเป็นแรงจูงใจให้สุนทรภู่แต่งกลอนเรื่องพระอภัยมณี<br />16. ทำไมสุนทรภู่จึงได้รับการยกย่องให้เป็นกวีเอกของโลก<br />17. นักเรียนมีข้อมูลหรือหลักฐานอะไรที่สนับสนุนให้สุนทรภู่เป็นกวีเอกของโลก<br /><br /><strong>ตัวอย่างคำถามระดับการสังเคราะห์<br /></strong>18. จงแต่งกลอน 8 ขึ้นมา 1 บท<br />19. ถ้าสุนทรภู่มีอายุยืนถึง 100 ปี ไม่ถูกประหารไปเสียก่อน นักเรียนคิดว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น<br />20. ถ้าสุนทรภู่มีชีวิตอยู่ในยุคนี้ นักเรียนคิดว่า สุนทรภู่จะแต่งกลอนเรื่องอะไร มีแนวดำเนินเรื่องอย่างไร<br />21. จงให้ชื่อที่เหมาะสมและน่าสนใจแก่บทร้อยกรองต่อไปนี้<br />22. ถ้าสุนทรภู่เป็นศรีปราชญ์ บทโคลงของศรีปราชญ์จะมีลักษณะเปลี่ยนไปหรือไม่อย่างไร หรือถ้าศรีปราชญ์<br />เป็นสุนทรภู่ บทกลอนของสุนทรภู่จะมีลักษณะเปลี่ยนไปหรือไม่ อย่างไร<br /><br /><strong>ตัวอย่างคำถามระดับการประเมิน</strong><br />23. กลอน 8 จำนวน 3 บทต่อไปนี้ บทไหนดีที่สุด เพราะอะไร<br />24. กลอน 8 บทนี้ ควรปรับปรุงอย่างไร จึงจะดีขึ้น<br />25. ถ้านักเรียนได้รับมอบหมายให้คัดเลือกกลอนของสุนทรภู่บางตอนจากเรื่อง พระอภัยมณีมาให้นักเรียน<br />ในโรงเรียนต่าง ๆ ศึกษา นักเรียนจะเลือกกลอนบทใด เพราะอะไร<br /><br /><strong>ข้อควรคำนึงและพึงระวังในการใช้คำถาม<br /></strong>1. ถามคำถามทีละคำถาม ไม่ควรถามหลายคำถามติดต่อกัน<br />2. คำถามแต่ละคำถาม ไม่ควรมีประเด็นถามมากเกินไป<br />3. คำถามควรชัดเจน ถ้าคำถามกว้างเกินไป ผู้เรียนตอบไม่ตรงประเด็น ควรปรับคำถามให้เฉพาะเจาะจงมากขึ้น<br />4. คำถามไม่ควรยาวเกินไป ผู้เรียนหรือผู้ตอบจะจำประเด็นไม่ได้ หรืออาจจะหลงประเด็นไปได้<br />5. ควรใช้น้ำเสียงและท่าทางที่เหมาะสมประกอบการถาม<br />6. เมื่อถามคำถามแล้ว ควรให้เวลาผู้เรียนคิด (wait time) พอสมควร จากผลการวิจัย (Cruickshank et al., 1995:346) พบว่า ถ้าผู้สอนให้เวลาแก่ผู้เรียนคิดประมาณ 3-5 นาที ผู้เรียนจะสามารถให้คำตอบที่ยาวขึ้นและมีคุณภาพมากขึ้น<br />7. ไม่ควรทวนคำถาม และไม่ควรทวนคำตอบของผู้เรียนบ่อย ๆ<br />8. ผู้สอนควรให้คำชมแก่ผู้เรียนบ้าง แต่ไม่บ่อยเกินไป ควรเป็นไปตามความต้องการของผู้เรียนแต่ละคน และควรพยายามค่อย ๆ เปลี่ยนการเสริมแรงจากภายนอก ไปสู่การเสริมแรงจากภายใน<br />9. หลีกเลี่ยงการชมประเภท <strong>ดี…แต่…</strong><br />10. การชมต้องมีฐานจากความเป็นจริง และความจริงใจ<br />11. ถามผู้เรียนและให้โอกาสผู้เรียนในการตอบอย่างทั่วถึง ให้ความเสมอภาคแก่ผู้เรียนทั้งชายและหญิง ทั้งเก่งและอ่อน ทั้งที่สนใจและไม่สนใจเรียน<br />12. เมื่อถามคำถามแล้ว ผู้สอนควรเรียกให้ผู้เรียนตอบเป็นรายบุคคล ไม่ควรให้ผู้เรียนตอบพร้อมกัน<br />13. เมื่อถามแล้ว ถ้าไม่มีผู้ใดตอบได้ ควรตั้งคำถามใหม่ โดยใช้คำถามที่ง่ายขึ้น หรืออธิบายขยายความ </p>บริหารการศึกษา กลุ่มดอนทอง52http://www.blogger.com/profile/09977397254587622395noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-4331491972544316806.post-31318825624269201572010-04-06T10:26:00.000+07:002010-04-06T10:47:29.414+07:00การปฏิรูปการศึกษารอบสอง (จาก E-Mail ของ อ.รุ่งฟ้า)การปฏิรูปการศึกษารอบสอง<br />โดย ชัยอนันต์ สมุทวณิช 4 เมษายน 2553 13:46 น.<br /><br /> เพื่อนนักเรียนรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ของผมคือ เกียรติชัย พงศ์พานิช โทร.มาชวนให้ผมไปพูดเรื่อง “ปฏิรูปการศึกษา” รอบสอง เกียรติชัยบอกว่าเขากำลังช่วยขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาอยู่นอกเวทีราชการ ที่จริงผมเบื่อ เรื่อง ปฏิรูปการศึกษาเต็มที แต่ก็เกรงใจเพื่อน อีกทั้งยังเห็นว่าเกียรติชัยประสงค์ดี และยังไฟแรงอยู่ก็เลยรับปาก ทั้งๆ ที่อยากไปอยู่หัวหินหลายๆ วัน เมื่อพูดถึงการปฏิรูปการศึกษาก็ต้องนึกถึง ดร.รุ่ง แก้วแดง เวลานี้ทราบว่า ดร.รุ่งไปทำโครงการช่วยชาวบ้านอยู่ทางปักษ์ใต้ ช่วงที่มีการปฏิรูปการศึกษารอบแรกนั้น ดร.รุ่ง จัดการประชุมสัมมนาหลายร้อยครั้ง มีผู้เข้าร่วมจำนวนมาก การจัดการศึกษาที่ดีนั้น มีเป้าหมายสำคัญๆ อยู่ 3 ประการ คือ หนึ่ง ความเสมอภาค และความทั่วถึง สอง คือ คุณภาพ และ สาม คือ ความสอดคล้องกับความต้องการ และการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ส่วนระบบการศึกษานั้น ประกอบไปด้วย หลักสูตรครู และกระบวนการเรียนการสอน และอุปกรณ์การเรียน ทั้งนี้การบริหารจัดการย่อมเป็นส่วนสำคัญของความสำเร็จด้วย ประเทศไทยเราสามารถบรรลุเป้าหมายแรก คือ ความเสมอภาคและการให้การศึกษาแก่พลเมืองอย่างทั่วถึงได้ ส่วนเรื่องคุณภาพ และความสอดคล้องกับความต้องการ และการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เรายังอยู่ห่างไกลความสำเร็จ ถ้าจะถามว่า การปฏิรูปการศึกษารอบแรกได้ผลมากน้อยเพียงใด ในความเห็นของผมก็คือ เราไปทำการเปลี่ยนแปลงตัวระบบการบริหารเสียมาก และยิ่งทำให้ระบบมีความเทอะทะมากขึ้นไปอีก กระทรวงศึกษาธิการยังคงมีหน่วยงานส่วนกลางมากมาย แม้จะมีการลดจำนวนกรมลง แต่ก็กลับมีกรมขนาดใหญ่ ส่วนการกระจายอำนาจที่พูดกันมาก ก็ยังเห็นผลน้อย จุดเน้นของการปฏิรูปการศึกษารอบแรกก็คือ การเปลี่ยนทัศนคติ และวิธีการสอนของครู ด้วยคำขวัญที่ว่า “ให้ถือเอาเด็กเป็นศูนย์กลาง” แต่เรื่องนี้ก็ได้ผลค่อนข้างจำกัด เพราะครูยังทำการสอนภายใต้ข้อจำกัดของกรอบหลักสูตรที่เน้นการสอนในห้องเรียน เด็กมีโอกาสปฏิบัติและทำกิจกรรมน้อย เพราะไม่มีเวลาเหลือ ทางด้านคุณภาพ หากวัดจากผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแล้ว นักเรียนกลับมีผลการเรียนในวิชาหลักๆ ต่ำลง และก็ยังคิดวิเคราะห์ไม่เป็นเหมือนเดิม แม้ว่าอุปกรณ์การเรียนการสอนจะดีขึ้นก็ตาม แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้คุณภาพของการศึกษาดีขึ้นแต่อย่างใด ไปๆ มาๆ การปฏิรูปการศึกษารอบแรก จึงได้แต่การเปลี่ยนโครงสร้างการจัดการศึกษา มีจำนวนตำแหน่งระดับ 11 มากขึ้น มีตำแหน่งซีสูงๆ ในระดับพื้นที่มากขึ้น แต่การพัฒนาครูก็ยังไม่ไปไกลถึงไหน แม้ว่าจะไปเพิ่มระยะเวลาการศึกษาวิชาครูมากขึ้นอีกหนึ่งปีก็ตาม ถ้าเช่นนั้น การปฏิรูปรอบสองควรเน้นอะไร ผมเห็นว่าการพัฒนาครูน่าจะเป็นจุดสำคัญ คุณภาพการศึกษาขึ้นอยู่กับคุณภาพของครู แต่ก็ควรระลึกด้วยว่าเวลานี้เด็กๆ มีครูนอกระบบแยะมาก โดยเฉพาะจากเทคโนโลยีการสื่อสาร และอินเทอร์เน็ต บทบาทใหม่ของครูจึงไม่ใช่การสอนอย่างเดียว แต่เป็นผู้ชี้แนะแหล่งการเรียนรู้ให้เด็กอีกด้วย การแนะนำแหล่งเรียนรู้โดยให้เด็กเข้าใจลักษณะของแหล่งเรียนรู้ประเภทต่างๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญ กล่าวอีกทางหนึ่งก็คือ ครูจะต้องเก่งในการช่วยแนะนำให้คำปรึกษาวิธีการเรียนรู้ที่จะรู้ ซึ่งเป็นหลักของการเรียนรู้ตลอดชีวิตอีกด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ ความรอบรู้ของครูจึงไม่ได้อยู่เฉพาะเนื้อหาวิชาการ แต่เป็นความรู้รอบตัว และมีความทันสมัย มีข้อมูลข่าวสารที่ทันต่อเหตุการณ์ด้วย นอกจากนี้ ครูควรมีทักษะการคิด ซึ่งมีความสำคัญต่อความสามารถในการวิเคราะห์ของเด็ก แต่เดิมเราถือว่าการวิเคราะห์จะเกิดขึ้นได้จากการเรียนวิชาการต่างๆ แต่ในปัจจุบัน “ทักษะการคิด” เป็นวิชาหนึ่งที่ควรบรรจุอยู่ในหลักสูตร เพื่อช่วยเสริมความสามารถในการวิเคราะห์ปัญหาทั้งที่อยู่ในรายวิชาต่างๆ ปัญหาในชีวิต และปัญหาสังคม ผมหวังว่า การปฏิรูปการศึกษารอบสองจะไม่เน้นเรื่องโครงสร้างการบริหารจัดการอีก หากจะมีก็ควรจะเป็นความพยายามในการกระจายอำนาจการจัดการศึกษาให้แก่ท้องถิ่นมากขึ้น โดยสรุปแล้ว ผมเห็นว่า การปฏิรูปการศึกษารอบสองควรพิจารณาเรื่องดังต่อไปนี้<br /> 1. ปรับหลักสูตรให้มีการปฏิบัติ และการทำกิจกรรมเพิ่มมากขึ้น<br /> 2. พัฒนาครู โดยเน้นบทบาทใหม่ๆ ให้ครูมีความรอบรู้ และสามารถเป็นที่ปรึกษาในเรื่องต่างๆ แก่เด็กนอกเหนือไปจากการสอนวิชาการให้มากขึ้น<br /> 3. เพิ่มวิชา “ทักษะการคิด” ไว้ในหลักสูตร ทั้งในโรงเรียน และในระดับปริญญาตรีของคณะครุศาสตร์<br /> 4. ส่งเสริมให้ครูมีทักษะด้านภาษา และทางด้านคอมพิวเตอร์ให้มากขึ้น<br /> 5. เน้นการปลูกฝังจริยธรรม และจิตวิญญาณของความเป็นครู<br /> ผมเห็นว่าเวลานี้ครูได้มีโอกาสเรียนรู้ทางวิชาการมากและเข้มข้นแล้ว การปรับบทบาทใหม่เป็นการพัฒนาครูที่สำคัญ หวังว่าการปฏิรูปการศึกษารอบสองจะไม่หยุดนิ่ง เพราะการศึกษาเป็นเรื่องที่จะต้องทำการปรับปรุงคุณภาพอย่างต่อเนื่องยาวนาน ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะระยะเวลาสั้นๆ เพียง 4-5 ปี หรือ 10 ปีเท่านั้นบริหารการศึกษา กลุ่มดอนทอง52http://www.blogger.com/profile/09977397254587622395noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-4331491972544316806.post-84995191039164064012010-04-04T14:59:00.000+07:002010-04-06T10:35:43.978+07:00มีจดหมายจาก ดร.รุ่งฟ้า กิติญาณุสันต์มีจดหมายจาก ดร.รุ่งฟ้า กิติญาณุสันต์ ครับ<br />เข้าดูได้ ที่ E-Mail ครับ<br /><br /><br />จาก 52980014 รายงานครับบริหารการศึกษา กลุ่มดอนทอง52http://www.blogger.com/profile/09977397254587622395noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4331491972544316806.post-24969260181181140592010-04-03T10:18:00.000+07:002010-04-03T10:55:19.629+07:00บทนำจากการเข้ารับการศึกษาหลักสูตรการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยบูรพา ศูนย์ดอนทอง ต้องมีการติดต่อสื่อสาร แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารการทำรายงานประกอบการเรียน เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับเพื่อน ๆ ที่เรียนด้วยกัน หรือประสานงานกับอาจารย์ผู้สอนในการมอบหมายภาระงานต่าง ๆ<br /><br />รหัส 52980014 เขียนบริหารการศึกษา กลุ่มดอนทอง52http://www.blogger.com/profile/09977397254587622395noreply@blogger.com0